ปัจจุบัน “อินเทอร์เน็ต” ถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันรวมถึงการเรียนและการงานเพราะไม่ว่าเราจะอยากค้นหาข้อมูลใด ๆ ก็ตามเรามักจะเริ่มที่การค้นหาข้อมูลบน Search Engine อย่าง Google, Yahoo หรือ Bing เป็นต้น โดยหลังจากเรากดค้นหาสิ่งที่เราอยากรู้ผ่าน Search Engine เรามักจะเลือกเข้าสู่เว็บไซต์ที่ขึ้นมาอันดับแรก ๆ ก่อนเสมอ ซึ่งเว็บไซต์อันดับแรก ๆ ที่ปรากฏบน Search Engine มักผ่านการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เสมอ
การทำ Search Engine Optimization ให้สำเร็จประกอบไปด้วย on-page seo และ seo off-page โดยความแตกต่างระหว่าง การทำ SEO on-page และ off-page มีดังนี้
- on-page seo เป็นการจัดระบบภายในเว็บไซต์ที่สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเจ้าของเว็บไซต์เอง โดยเริ่มตั้งแต่การตั้งชื่อเว็บไซต์ การตั้งชื่อบทความ การเขียนคำอธิบายเว็บไซต์ (meta tag seo) การเขียนบทความ การตั้งชื่อไฟล์ภาพ ฯลฯ โดยทุกส่วนที่กล่าวมาจะต้องมีการแทรก Keyword (คำค้นหา) ที่มีจำนวนกลุ่มเป้าหมายคนหาในปริมาณมากแต่การแข่งขันน้อย
- seo off – page เป็นการทำให้เว็บไซต์มีปริมาณการเข้าถึงเพิ่มสูงขึ้น โดยการทำ backlink หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการฝากลิงก์บนเว็บไซต์อื่นที่มีเนื้อหาหรือเป็นเว็บไซต์ประเภทเดียวกัน
กระบวนการทำ SEO on-page และ off-page เป็นวิธีพื้นฐานในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่หลายคนทราบดีอยู่แล้วแต่ก็มีคนทำเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยที่พบว่าเว็บไซต์ไม่สามารถเลื่อนอันดับได้แม้ว่าจะพยายามฝากลิงก์หรือจัดระบบภายในเว็บไซต์ตามหลัก SEO
ส่วนหนึ่งของปัญหาเว็บไซต์ไม่สามารถเลื่อนอันดับเพื่อขึ้นสู่หน้าแรกบน Search Engine ได้เป็นเพราะมองข้ามความสำคัญของการ
ตรวจสอบความเร็วเว็บ ซึ่งเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกบน Search Engine เนื่องจากการแสดงผลเว็บไซต์ที่รวดเร็วย่อมลดการกดออกจากเว็บไซต์ได้มากกว่าโดยวิธี ทดสอบความเร็วเว็บ สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้
- Thai Web Speed Test เป็นเว็บไซต์ที่บอกถึงระยะเวลาที่ใช้ในการแสดงผลข้อมูลที่มืออาชีพหลายคนเลือกใช้เพราะสามารถบอกถึงระยะเวลาในการแสดงผลขององค์ประกอบทั้งหมดบนหน้าเว็บไซต์ได้และใช้งานง่าย
- Google PageSpeed Insights เครื่องมือเช็กความเร็วของเว็บไซต์ที่ได้มาตรฐานเพราะเป็นเครื่องมือที่ถูกพัฒนาโดย Search Engine ระดับโลกโดยเครื่องมือนี้จะแสดงรายละเอียดเป็นภาษาไทยทำให้ง่ายต่อการนำไปปรับแก้เว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพในการแสดงผลมากยิ่งขึ้นรวมถึงบอกระยะเวลาในการแสดงผลบนสมาร์ทโฟนได้ด้วย
- Google Chrome Audits ปลั๊กอินที่ไม่เพียงแต่ช่วยบอกระยะเวลาของ pagespeed ได้เหมือนกับ Google PageSpeed Insights แต่ยังอธิบายเกี่ยวกับการปรับคอนเทนต์และแนะนำการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยสามารถติดตั้งปลั๊กอินนี้ผ่าน Chrome browser เวอร์ชัน 6.0 ขึ้นไป
หากทำ Search Engine on – page และหมั่นตรวจสอบความเร็วในการแสดงผลของหน้าเว็บไซต์ผ่านเครื่องมือ ทดสอบความเร็วเว็บ เครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งอยู่เสมอ การติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป