ใครที่มีรายได้เข้าเกณฑ์และต้องเสียภาษีประจำปีและต้องการหาทางออก เพื่อให้ตนเองเสียภาษีให้น้อยลงทั้งที่ใช้สิทธิลดหย่อนอื่น ๆ ตามกลไกที่มีแล้ว ยังไม่สามารถลดลงได้อีก
ประกันสุขภาพ และ
ประกันออมทรัพย์ คือหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยในการลดหย่อนภาษีได้ แต่จะมีข้อแตกต่างอย่างไร แบบไหนคุ้มค่ากว่าและควรเลือกแบบไหนดีไปดูกันเลย
ประกันชีวิตที่อยากจะแนะนำให้มีไว้อย่างน้อย 1 กรมธรรม์ โดยเฉพาะประกันที่เน้นไปที่เงินออม แม้จะได้ผลตอบแทนที่ดูน้อย แต่ก็เป็นการช่วยสร้างวินัยในการ ออมเงิน ให้กับคุณได้ อีกทั้ง ประกันชีวิตลดหย่อนภาษี ได้ด้วย ใครที่กำลังมองหาอยู่และต้องการวางแผน การลงทุน ในระยาว ขอแนะนำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์หรือแบบพิเศษที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธรรมดา แถมสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาทต่อปีอีกด้วย หากเมื่ออยู่ครบสัญญาก็จะได้รับเงินหรือผลตอบแทนกลับคืนตามที่กำหนดพร้อมผลประโยชน์ โดยที่ไม่ถูกหักภาษี ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการทำประกันชีวิต คือจะได้สิทธิ์ เงินกู้ จากทางกรมธรรม์ได้
ในขณะที่การประกันสุขภาพเหมาะสำหรับคนที่ไม่พอใจในสิทธิ์ขั้นพื้นฐานที่ได้รับจากรัฐหรือประกันสังคม ในขณะที่เวลาเจ็บไข้ต้องการการบริการที่ดีเหมือนโรงพยาบาลเอกชนแต่ไม่ต้องการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเอง ต้องการให้ประกันออกค่าใช้จ่ายให้ โดยเฉพาะคนที่คาดว่าตนเองจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคร้ายแรงที่มีระยะเวลาในการรักษาที่ยาวนานและค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงมาก ตลอดจนค่าชดเชยรายได้ในกรณีที่เข้ารับการรักษาและสินไหมในกรณีที่เสียชีวิตจากโรคร้ายแรงที่ทำประกันไว้ ในขณะที่ประกันสุขภาพเองก็สามารถที่จะนำเบี้ยที่จ่ายไป สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาทต่อปี ซึ่งผู้ซื้อประกันสุขภาพต้องพิจารณาความคุ้มครองให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เพราะประกันสุขภาพก็จะคล้ายกับประกันภัยรถยนต์ที่เมื่อครบกำหนดเวลาแล้วไม่ได้รับการเคลมหรือรักษาก็จะเสียเปล่าหรือไม่ได้ใช้นั่นเอง อีกทั้งการทำประกันก็เป็นปีต่อปี ไม่ได้ให้ความคุ้มครองระยะยาวแบบประกันชีวิต ยกเว้นเสียแต่จะเป็นการซื้อเพิ่มแล้วจ่ายเป็นรายปีควบคู่ไปกับประกันชีวิต เมื่อครบกำหนดสัญญาก็ไม่ได้เงินปันผลหรือเงินออมใด ๆ
มาถึงตรงนี้หลายคนคงพอตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกทำประกันในแบบใด แต่ใช่ว่าประกันสุขภาพจะไม่ดีเพียงแต่มองเป็นในเรื่องของออปชั่นเสริมใน การลงทุน เพราะหากได้รับความเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในส่วนของประกันชีวิตอาจไม่ครอบคลุม หรืออาจต้องมีการสำรองในส่วนที่เกินก็เป็นได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะได้รับความเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรงหรือไม่ การมีประกันสุขภาพเผื่อไว้ก็เหมือนกับประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 ที่แม้จะไม่เคยเคลมประกัน แต่หากมีไว้ก็อุ่นใจกว่า