“เด่นหล้า บริติช สคูล” เผย 7 เคล็ดลับ พิชิตมหาวิทยาลัยระดับโลก และอาชีพในฝันโดยนักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด
“การเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เป็นสิ่งที่ทำได้ และไม่ยากอย่างที่คิด” หัวใจสำคัญคือต้องวางแผนล่วงหน้า และเตรียมความพร้อมตั้งแต่วัยเยาว์ เด่นหล้า บริติช สคูล (DENLA BRITISH SCHOOL หรือ DBS) ได้มุ่งเน้นเรื่องเส้นทางการก้าวสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก เพื่อให้นักเรียนเกิดความตระหนักรู้และตื่นเต้นที่จะค้นหาโลกของตนเองในอนาคต ที่ไม่มีใครสร้างให้ได้นอกจากมือของเราเองจึงได้เชิญ Mr. Jamie McVeigh นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford University) ประเทศอังกฤษ ลูกชายของ Mr. Mark McVeigh คุณครูใหญ่โรงเรียน DBS ผู้มากประสบการณ์จากโรงเรียนชั้นนำทั้งในประเทศอังกฤษ และภูมิภาคเอเชีย มาแบ่งปันประสบการณ์และสร้างแรงบันดาลใจในการบรรยายหัวข้อ “An Educational Journey” ซึ่งจะทำให้ภาพการวางแผนอนาคตการศึกษาเพื่อความสำเร็จทางอาชีพ ชัดเจน และไม่ยาก หากเดินตามเคล็ดลับต่อไปนี้
ความชอบของคนเรานั้นเปลี่ยนแปลงกันได้
คุณครูใหญ่โรงเรียน DBS เล่าถึงคุณ Jamie ตอนที่เขาอายุเพียง 2 ขวบว่า ตอนนั้นของเล่นที่ Jamie ชอบมากที่สุดคือเครื่องดูดฝุ่นพลาสติก เขาให้ความสนใจและสนุกสนานกับเครื่องเล่นชิ้นนี้เป็นปี พอมาถึงตอนอายุ 5 ขวบ เขาหันมาเล่น
ฟุตบอล เขามีความหลงใหลเกมการเล่น และชอบซ้อมเล่นฟุตบอลกับเพื่อนๆเป็นอย่างมาก และพอตอน Jamie อายุ 11 ขวบ เขากลับค้นพบว่าชอบของเล่นต่างๆที่เกี่ยวกับการแพทย์และโรงพยาบาล จากช่วงเวลาหนึ่งไปสู่อีกช่วงเวลาหนึ่งนั้น ความชอบของเราสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ ในช่วงแรกของชีวิต ความชอบจะเปลี่ยนแปลงตามการเดินทางของกาลเวลา ดังนั้นเรามีความจำเป็นที่จะต้องลองทำอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ เพื่อที่จะค้นพบว่าเราชอบทำอะไรบ้าง อย่างคุณ Jamie นั้น ตอนที่ค้นพบว่าตัวเองอยากเป็นหมอเพราะว่าเห็นตัวอย่างจาก
แม่ที่เป็นพยาบาล และเขาก็ชอบเรียนวิชาวิทยศาสตร์ คำนวณ และก็อยากจะช่วยเหลือผู้คน จึงตัดสินใจเรียนแพทย์ในที่สุด
7 ขั้นตอนลัด พิชิตมหาวิทยาลัยระดับโลก และ อาชีพในฝัน
การก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยระดับโลก ก็เท่ากับว่าประสบความสำเร็จทางด้านอาชีพไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้จะไม่ง่ายแต่ก็ไม่ไกลเกินเอื้อม คุณ Jamie ได้แชร์เทคนิคที่ใช้แล้วได้ผลกับตัวเอง ถึงการวางแผนและขั้นตอนการพิชิตความสำเร็จทางการศึกษา
1. จงคิดถึงสิ่งที่เราอยากทำ และอย่าให้ใครมาบอกว่าเราทำมันไม่ได้ จงฝันให้ใหญ่ แต่ตั้งมั่นด้วยการค่อยๆก้าวขั้นเล็กๆไปทีละขั้น (DREAM BIG – but with small steps)
“ฝันให้ใหญ่ แต่เริ่มด้วยขั้นตอนเล็ก ๆทีละก้าว” จุดเริ่มต้นของความสำเร็จอาชีพในอนาคต คือสิ่งที่เราจะอยู่กับมันตลอดไปหลังพ้นจากชีวิตในวัยเรียน ซึ่งการคิดถึงอาชีพของเราในอนาคตมีความสำคัญมากตั้งแต่ในวัยเรียน เพราะกว่าจะตกตะกอนความคิดได้ว่าเราจะมีอาชีพอะไรนั้น ก็ต้องมาจากการเริ่มสำรวจตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราชอบวิชาอะไร ชอบทำกิจกรรมอะไรบ้าง ในขณะที่อยู่ในโรงเรียน นี่คือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด แล้วน้องๆคิดกันรึยังว่าอาชีพใดเหมาะกับเรา และศักยภาพของเราเหมาะกับอาชีพอะไร? ถ้าย้อนกลับไปดูความสำเร็จของมนุษย์ มีตัวอย่างมากมายที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์จนสามารถสร้างความสำเร็จสูงสุดให้แก่มวลมนุษยชาติ
2. เป้าหมายต่อไป (Next goal) ของเรานั้นสำคัญ เมื่อเรามีความฝันแล้ว ให้เริ่มจากการให้ความสำคัญกับเป้าหมายเล็กๆอันจะเป็นจิ๊กซอว์ที่ประกอบขึ้นไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งการที่เราจะไปถึงอาชีพที่เราใฝ่ฝันได้นั้น ก่อนอื่นคือการเรียนหนังสือให้ดี โดยเฉพาะเรียน IGCSEs และสอบ A Levels ให้ได้ตามเป้าของเราก่อน ก่อนที่จะไปถึงฝันที่สำคัญ ซึ่งในระบบการเรียนหลักสูตรนานาชาติอังกฤษต้องเรียนทั้งสองหลักสูตรนี้ โดย IGCSEs เป็นการเรียนวิชาที่หลากหลายเพื่อให้เรารู้ว่าเราชอบวิชาอะไร ซึ่งนอกเหนือจากวิชาหลัก (Core subjects) แล้ว เราจะมีโอกาสเลือกวิชาเสริมอื่นๆด้วย (Extra subjects) การเรียนในตอนนี้ เราจะยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบวิชาอะไร จึงต้องลองเรียนกว้างๆก่อน เพื่อหาวิชาที่เรียนแล้วสนุกไปกับมัน ส่วน A Levels คือการเรียนเฉพาะวิชาที่เราสนใจจริงๆ เป็นการตีกรอบวิชาให้แคบลงเพื่อโฟกัสในสิ่งที่เราชื่นชอบ ในตอนนี้หากรู้แล้วว่าเมื่อโตขึ้นเราอยากประกอบอาชีพอะไร เราก็สามารถเลือกเรียนเน้นวิชาที่จะส่งเสริมอาชีพในฝันของเราได้
3. สัมผัสประสบการณ์กับอาชีพที่อยากจะทำ (Work experience) จงพยายามหาประสบการณ์จากอาชีพต่างๆที่เราอยากจะทำในอนาคตเพื่อที่จะได้รู้ว่าจริงๆแล้วเรารักอาชีพนี้หรือบางทีเราอาจจะเกลียดอาชีพนี้ก็ได้ โดยวิธีการคือ การค้นหาข้อมูลด้วยตนเองและถามความรู้จากผู้มีประสบการณ์ตรง
4. การสมัครเข้ามหาวิทยาลัย (University application) อันดับแรกควรเลือกมหาวิทยาลัยในฝัน เลือกเลือกประเทศ ว่าเราอยากเรียนที่ไหน ศึกษาดูรายละเอียดว่ามีการสมัครเข้าเรียนอย่างไร มีการสอบอะไรบ้าง ซึ่งบางมหาวิทยาลัยต้องผ่านการสัมภาษณ์ด้วย จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อม
5. ชีวิตในมหาวิทยาลัย (University life) เมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ชีวิตในมหาวิทยาลัยตามความเห็นของคุณ Jamie นั้นวิเศษมาก เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งโอกาสที่จะได้พัฒนาตัวเองในเชิงวิชาการ ได้ทำ
งานวิจัย ได้ทำรายงาน วิทยานิพนธ์ ได้มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับอาชีพที่เราอยากจะต้องออกไปทำในอนาคต เราสามารถทำได้ทุกๆอย่าง และสิ่งที่ดีที่สุดคือกิจกรรมส่งเสริมหลักสูตร (Co-curricular activities หรือ CCAs) ที่ให้นักศึกษาได้เข้าร่วมกิจกรรมมากมาย และเป็นช่วงเวลาที่เราจะมีอิสระในการเรียนรู้ด้วยการพึ่งพาตนเอง ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยเรียนที่โรงเรียน ตอนนั้นเราจะมีครูคอยช่วยเหลือ แต่ที่มหาวิทยาลัย เราต้องช่วยและพึ่งพาตัวเองอย่างมาก นอกจากนี้ในมหาวิทยาลัยเรายังได้มีโอกาสสังสรรค์เข้าสังคมมากมาย พบปะผู้คนจากทั่วโลก การเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นก็มีการสอบเหมือนกับโรงเรียน ที่เพิ่มเติมคือการทำโปรเจกต์ต่างๆควบคู่ไปด้วย การเขียนเรียงความ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมที่ทำให้เราเรียนรู้ได้กว้างและลึกขึ้น
6. พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุด พยายามคิดถึงสิ่งที่เราอยากจะทำ อยากจะเป็น และสิ่งที่เราชอบทำ จากนั้นพยายามพูดคุยปรึกษากับครู รวมถึงพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนด้วยกันว่าแต่ละคนอยากทำอะไรมีความสนใจอะไร
7. เรียนรู้จากการเดินทาง จำไว้ว่าเส้นทางการเดินทางของชีวิตและการเติบโตนั้น ทุกอย่างข้องเกี่ยวกับการเรียนรู้จากประสบการณ์และความผิดพลาด สิ่งสำคัญคือทำทุกอย่างให้มากที่สุดที่จะสนุกไปกับชีวิตการเรียน