หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: ส่องหลักสูตรการศึกษานานาชาติอังกฤษดีอย่างไร?  (อ่าน 14 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 25 ก.ย. 19, 09:41 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 


หลักสูตรการศึกษานานาชาติล้ำๆของฝั่งอังกฤษ (UK) ดีอย่างไร ทำไมหลักสูตรการเรียนการสอนของอังกฤษ จึงเป็นที่นิยมมากที่สุดในโลก ข้อมูลของ International School Market Research and Trends พบว่า ในปี 2561 มีโรงเรียนนานาชาติกว่า 3,500 โรงเรียน จากราวหนึ่งหมื่นโรงเรียนทั่วโลก หรือกว่า 30 % ใช้ระบบการเรียนสอนของอังกฤษ ในขณะที่การเรียนการสอนแบบ Bilingual, US และ IBDP ก็เป็นที่นิยมรองลงมาตามลำดับ ยิ่งพ่อแม่รู้ข้อมูลมากเท่าไรยิ่งได้เปรียบสำหรับการฟันธงว่าลูกเราจะเหมาะกับหลักสูตรแบบไหน การวางแผนตั้งแต่แรกสามารถการันตีโอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยระดับโลกได้อย่างแน่นอน!

มร. มาร์ค แมคเวย์ (Mr. Mark McVeigh) ครูใหญ่โรงเรียนเด่นหล้า บริติช สคูล (Denla British School - DBS) ซึ่งเป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของประเทศไทย ถือเป็นบุคคลที่เข้าใจหลักสูตรการศึกษานานาชาติระบบอังกฤษได้ดีที่สุด มร.แม็คเวย์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและมีประสบการณ์การสอนอย่างครอบคลุมและรอบด้านมานานเกือบ 30 ปี ประสบการณ์ทำให้คุณแมคเวย์เชื่อว่า ก่อนที่พ่อแม่จะเลือกโรงเรียนให้กับลูก สิ่งสำคัญคือพ่อแม่จะต้องศึกษาทั้งระบบการศึกษา แนวคิดและหลักการ และคุณภาพครูของโรงเรียนนั้นๆ

หลักสูตรนานาชาติอังกฤษ (UK Curriculum)

ลักษณะการเรียนในหลักสูตรนานาชาติอังกฤษ ที่มุ่งเน้นการอิงทักษะของนักเรียนเป็นสำคัญ ทำให้นักเรียนได้คิดและตั้งถามในระดับที่ลึกและเข้มข้นกว่า ซึ่งบ่อยครั้งนำไปสู่การตั้งคำถามเพื่อค้นหาตัวตนของตัวเองและในบริบทของโลก ดังนั้นหลักสูตรนี้จึงเตรียมพร้อมให้นักเรียนสำหรับการศึกษาในอนาคตที่มีมากกว่าผลการสอบตามรายวิชา

ระบบการเรียนการสอนของอังกฤษเป็นระบบการศึกษาที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานที่สุด ลักษณะเด่นที่สุดของหลักสูตรการศึกษาระบบอังกฤษคือ นักเรียนจะต้องมีความเป็นปัจเจกบุคคล หลักสูตรออกแบบมาเพื่อดึงศักยภาพของเด็กได้อย่างเข้มข้น ตรงจุด และมีประสิทธิภาพ ซึ่งการเรียนทั้งหมดจะไปเฉือนกันที่สุดคือตอนเด็กอายุประมาณ 12-14 ปี อยู่ในชั้นมัธยมต้น หรือชั้น Year 9 - 11 เป็นช่วงเวลาที่มีเด็กกำลังเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เด็กจะเริ่มมีความสับสนในความเป็นตัวเอง พวกเขาอาจจะดื้อรั้นกับพ่อแม่แบบไม่มีเหตุผล ซึ่งคุณครูใหญ่โรงเรียน DBS บอกว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นพัฒนาการที่ปกติ นั่นคือเขากำลังเข้ากระบวนการค้นหาตัวเองแล้ว ดังนั้นระบบอังกฤษจึงเกี่ยวข้องกับการเตรียมพร้อม ให้เด็กๆสามารถค้นหาความชอบความสนใจของตนเองและพัฒนาลักษณะนิสัยของตนเอง

การตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพ

ระบบอังกฤษจะให้เด็กเลือกเรียนวิชาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ตอบสนองต่ออาชีพที่หลากหลาย โดยปกติแล้วนักเรียนจะได้เรียน 9-11 วิชาไปจนถึงอายุ 16 ปี ในขณะที่หลักสูตรระบบอื่นนั้นจะให้เรียนวิชาจำนวนน้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่นได้เรียนเพียง 5 วิชาเท่านั้น หลักสูตรระบบอังกฤษจึงเป็นการมอบทางเลือกในการเรียนแก่นักเรียนให้มากเท่าที่จะมากได้

เมื่อเด็กเรียนไป 9 วิชาแล้วมาพบว่า ตัวเองชอบ 4 วิชา ไม่ชอบ 5 วิชา ระบบอังกฤษจะบอกว่า ให้เรียนให้ดีครบ 9 วิชาไปก่อน ผลก็คือเด็กจะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองไม่ชอบแต่ทำได้คือวิชาอะไร และสิ่งที่ชอบด้วยและทำได้ด้วยคือวิชาอะไร นอกจากนี้นักเรียนยังจะมีเวลามากขึ้นในการตระหนักว่าความจริงแล้วตนเองนั้นชอบวิชานี้ แม้ว่าตอนแรกจะคิดว่าตัวเองไม่ชอบก็ตาม

เมื่อเรียนไปถึงชั้น A Level ก็คือ Year 13 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 วิชาต่างๆที่เด็กจะเรียนนั้นจะน้อยลงไปเลย จะเหลือเพียง 3-4 วิชาเท่านั้น ช่วงนี้เด็กจะรู้แล้วว่าตัวเองชอบอะไรมากที่สุดและตัวเองเก่งในด้านใดมากที่สุดด้วย ดังนั้นการให้เด็กได้โฟกัสสิ่งที่ใช่ที่สุดไปเลยจึงเป็นวิธีที่เหมาะสม คุณแมคเวย์กล่าวว่าสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้นั้น คือ พื้นฐานสำหรับชีวิตนักเรียนในอนาคตในช่วงที่เรียน GCSE ขณะที่เรียน A Level ก็สามารถบอกทิศทางที่นักเรียนจะไปต่อได้ โดยอิงจากความสนใจและความสามารถของนักเรียน ระบบอังกฤษจึงใช้เวลาเรียนมหาวิทยาลัยกันเพียง 3 ปีก็เพียงพอ เพราะได้เรียนอย่างเข้มข้นเจาะลึกมาตั้งแต่ตอนเรียน A Level แล้ว

เด็กจะได้เรียนแบบ Self-Study ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตลอดชีวิต

คุณครูใหญ่โรงเรียน DBS เล่าต่อว่า อีกคอนเซ็ปต์ของหลักสูตรอังกฤษก็คือ จะมุ่งเน้นการเรียนการสอนไปพร้อมกับการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนแบบค้นหาด้วยตัวเอง เมื่อขึ้นชั้น A Level การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างสมดุล การสอนจะน้อยลงและการเรียนด้วยตัวเองจะเพิ่มมากขึ้น นักเรียนจะได้โฟกัสในวิชาที่ตนสนใจมากที่สุดและยิ่งทำให้เด็กต้องใช้ความสนใจของตัวเองจริงๆมากขึ้นในการค้นคว้าข้อมูล ทำรายงาน ทำโปรเจ็คต่างๆ ข้อดีที่สุดคือ เด็กที่ผ่านการเรียนลักษณะนี้ จะปรับตัวได้ทันทีและคล่องแคล่วมากเมื่อก้าวสู่การเรียนระดับมหาวิทยาลัย เพราะการเรียนด้วยตัวเองเป็นรากฐานที่สำคัญของการเรียนในทุกๆมหาวิทยาลัย เมื่อนักเรียนโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ประกอบอาชีพการงานและเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องเปลี่ยนอาชีพ พวกเขาก็สามารถใช้การเรียนรู้ด้วยตนเองที่ฝึกฝนมา และเปลี่ยนอาชีพของตนเองได้อย่างง่ายดาย ทักษะนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ เด็กที่เรียนในระบบอังกฤษ เมื่อฝึกฝนตัวเองกับการเรียนรู้แบบ Self-Study มา เด็กก็จะมีทักษะเรื่องนี้แน่น ไม่ว่าจะทำอะไร พวกเขาก็จะทำด้วยความรัก ส่งผลให้งานออกมาสำเร็จลุล่วงด้วยดี เหมือนกับที่คุณแมคเวย์ได้สรุปไว้ว่า “การเรียนรู้ที่ยั่งยืนที่สุดคือการเรียนรู้อย่างอิสระด้วยตนเอง”



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

Tags:
Tags:  

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม