อ.
แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เป็นพื้นที่หนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าสร้างการเกิดหมอกควันจากการเพาะปลูกข้าวโพด บุกรุกป่า เผาป่า และเผาเศษวัสดุต่าง ๆ ในช่วงมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของคนในชุมชน ธุรกิจการท่องเที่ยว และธุรกิจการบิน
ปัญหาดังกล่าวจึงทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัย
แม่โจ้ พร้อมคนในชุมชนหาทางแก้ไขปัญหา เพื่อมุ่งลดปัญหาหมอกควัน และพัฒนาอาชีพทางเลือกให้แก่คนในพื้นที่
"เทพนคร เปี่ยมเพ็ชร์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โปรดิ๊วส จำกัด เล่าย้อนให้ฟังว่า อ.แม่แจ่มเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดมากเป็นอันดับต้น ๆ ของ จ.เชียงใหม่ เพื่อการยังชีพ เพราะข้าวโพดเป็นพืชที่ปลูกง่าย ปลูกได้ในพื้นที่สูง และขายได้
"แม่แจ่มมีพื้นที่เกษตร 14% ที่เหลือเป็นพื้นที่ป่า และชุมชน ในอดีตเราเคยไปส่งเสริมการปลูกข้าวโพดในพื้นที่ เพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่มีดินดี และต้องการสร้างรายได้ให้คนในชุมชนด้วยการประกันราคารับซื้อ เราจึงตกเป็นจำเลยที่ทำให้เกิดปัญหาหมอกควัน แต่ข้อเท็จจริงพบว่าเราทำการส่งเสริมเพียง 2,000 ไร่ จากพื้นที่กว่าแสนไร่ที่ชุมชนปลูกให้บริษัทอื่น ๆ ด้วย และส่วนหนึ่งของการเผาเป็นการเผาวัชพืชเพื่อเตรียมปลูกพืชอื่น ๆ ต่อไป ไม่ใช่เพียงเผาตอซังข้าวโพด"
"แต่หลังจากเกิดปัญหานี้ เราจึงยกเลิกส่งเสริมปลูกข้าวโพดในพื้นที่ดังกล่าว พร้อมกับคิดหาวิธีช่วยเหลือคนในชุมชนไม่ให้ขาดรายได้ ทั้งนั้นเพื่อจะได้เกิดผลดีต่อทุกฝ่าย สร้างความยั่งยืน วัดผลได้ และสามารถเป็นแบบอย่างต่อชุมชนอื่น เราจึงปรึกษาทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ จนเกิดเป็นโครงการธรรมชาติปลอดภัยแม่แจ่ม"
วัตถุประสงค์การดำเนินโครงการจะต้องสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต สร้างรายได้ให้เพียงพอ ลดการพึ่งพิงป่า ลดการเผา สามารถนำเอาวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำให้เกิดประโยชน์ และมุ่งสู่ชุมชนแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และชุมชนต่อการเที่ยวเชิงนิเวศชุมชนในอนาคต
"ผศ.ดร.สมเกียรติ ชัยพิบูลย์" ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์และพยากรณ์ทางการเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า โครงการธรรมชาติปลอดภัยแม่แจ่มเริ่มมาตั้งแต่ปลายปี 2555 ด้วยแนวคิด "ระเบิดจากข้างใน" จากการสนับสนุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์
จากความมุ่งหมายที่ต้องการให้ชาวบ้านมีรายได้ตลอดทั้งปี ลดการพึ่งพิงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเผาป่า รุกป่า จึงได้พัฒนาอาชีพแก่คนในพื้นที่ 3 หมู่บ้านใน อ.แม่แจ่ม คือ บ้านแม่ปาน บ้านดอยสันเกี๋ยง และบ้านใหม่ปูเลย รวมกว่า 300 ครัวเรือน เพื่อสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล
"เริ่มจากการจัดเวทีชุมชนรับฟังความคิดเห็นจากสมาชิกในชุมชน หน่วย
งานภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่ม NGO ในพื้นที่ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาหมอกควัน และหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด ซึ่งวิธีการดำเนินการโครงการธรรมชาติปลอดภัย ใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โดยการดำเนินงานนั้นยึดหลัก 3 ประการ คือ เข้าใจ, เข้าถึง, พัฒนา"
สิ่งสำคัญคือการทำงานต้องไม่ใช้เงินเป็นที่ตั้ง ต้องใช้ความจริงที่สมเหตุสมผล และพลังความสามัคคี ความเข้มแข็ง ของผู้นำ และสมาชิกในชุมชนเป็นกลไกในการขับเคลื่อน
จากการรับฟังปัญหา และความต้องการจากชาวบ้านพบว่าน้ำคือคำตอบของการพัฒนาอาชีพของชาวบ้าน โครงการธรรมชาติปลอดภัยจึงให้การสนับสนุนการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำแก่ชาวบ้าน ภายใต้การสนับสนุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ และภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้
"เราเริ่มพัฒนาแหล่งน้ำเป็นก้าวแรก ด้วยการสร้างบ่อพ่วงสันเขากว่า 40 บ่อ ทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ เพื่อกักเก็บน้ำไปใช้ในการเกษตรแก่ชุมชน เมื่อมีน้ำแล้วขั้นตอนต่อมาคือการสร้างอาชีพ เมื่อมีน้ำพอเพียงก็สามารถปลูกพืชอื่น ๆ ได้"
ปัจจุบันโครงการพัฒนามาสู่การวางแผน 2 ระยะ คือ แผนระยะสั้น-ระยะกลาง ได้แก่ การปลูกพืชทางเลือกที่มีตลาดรองรับแน่นอน เช่น ผักกาด กะหล่ำปลี และถั่วฝักยาว พร้อมทั้งส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ สุกร ปัจจุบันชาวบ้านในโครงการร่วมกันจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนชื่อว่ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรธรรมชาติปลอดภัย เพื่อเป็นช่องทางจัดจำหน่ายผลผลิตด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการเพาะเห็ดจากตอซังข้าวโพด เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเผาตอซังข้าวโพด ซึ่งเป็นการนำองค์ความรู้จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้มาขยาย โดยมีโรงเรียนประชานุเคราะห์ 31 อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์เรียนรู้ เผยแพร่วิธีทำให้แก่ชาวบ้าน จนขยายผลไปพื้นที่อื่น ๆ
แผนระยะยาว ได้แก่ สนับสนุนการปลูกผลไม้ ไม้ยืนต้น เช่น ลำไย เงาะ และพัฒนาชุมชนเป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ก่อนหน้านี้ได้สนับสนุนการสร้างหอคอยเฝ้าระวังไฟใจกลางพื้นที่เสร็จแล้ว ที่นอกจากใช้เฝ้าระวังไฟ ยังสามารถให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมทิวทัศน์ที่สวยงามของ อ.แม่แจ่มอีกด้วย
นับเป็นโครงการที่วิเคราะห์ปัญหา หาทางแก้ไข โดยให้ความสำคัญกับการรับฟังความต้องการของชุมชน และสร้างความร่วมมือของหลายฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
เครดิต ประชาชาติธุรกิจ (http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1454997445)