หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: UFO จานบินและมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว....ตอนที่ 2  (อ่าน 884 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 14:37 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

UFO จานบินและมนุษย์ต่างดาวมาแล้ว....ตอนที่ 2




หลักฐานที่ทำให้เค้าเชื่อกันว่า โลกเรา เคยมีมนุษย์ต่างดาวมาอยู่อาศัย


ชิเชน อิตซา ซึ่งว่ากันว่า หัวตัดของพีระมิด น่าจะเป็นที่จอดอากาศยาน.

เมื่อ ไม่กี่วันก่อนนี้ ได้ดูตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง The District 9 แล้วทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง ในภาพยนตร์เล่าถึงมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมายังโลกของเรา แล้วก็เกิดมีการสร้างเป็นนิคมให้ เหล่าเอเลี่ยนพวกนี้ได้อยู่อาศัยในพื้นที่ที่กำหนด ไม่ปะปนกับชาวโลก แต่คุณที่ทำให้รู้สึกบางอย่างดังที่ได้กล่าวมาแล้วก็เพราะว่า มีหลายความเชื่อจากนักวิชาการ นักเขียนหลายคนเลยทีเดียว ที่คิดว่า อันที่จริงแล้วมนุษย์จากดาวดวงอื่น ได้ "เคย" ย่างก้าวเข้ามาพำนักพักพิงบนโลกของเรามานานเนแล้ว แถมยังได้ทิ้ง "อนุสรณ์" ไว้ตั้งเยอะแยะให้คนรุ่นหลังได้รู้ว่า เฮ้...ฉันอยู่ตรงนี้มานานแล้วนะ ไม่ใช่เพิ่งมาสักหน่อย

ว่าแล้ว ไทยรัฐ ซันเดย์ สเปเชียล โดยทีมงานต่วย'ตูน ก็ไม่รอช้ารีบตะแล๊บแก๊บตีสายโทรเลขไปถามผู้เชี่ยวชาญโดยพลัน เพื่อนำเรื่องนี้มาไขให้กระจ่าง


แบบจำลองแบตเตอรี่แห่งแบกแดด.

จาก ที่ได้กล่าวแล้วว่า มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคยทิ้งอนุสรณ์เอาไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือ...ใช่แล้ว พีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆแล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมาก มาย กระจายไปทั่วโลก เช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ โดยพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ มหาพีระมิดแห่งชูลูลาในเม็กซิโก

อันว่าพีระมิดนั้นไม่ว่าเล็กหรือ ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกันคือรูปทรง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆพื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก แต่พีระมิดก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัด และเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่ รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ เช่น พีระมิดขั้นบันไดที่ชิเชน อิตซา ที่ระลึกจากอารยธรรมมายาในเม็กซิโก ที่มีบันได 4 ด้าน ด้านละ 91 ขั้น รวม 364 ขั้น บวกกับขั้นบนสุดรวมเป็น 365 ขั้น เท่ากับจำนวนวันในแต่ละปี ทั้งๆที่ในขณะนั้นยังไม่มีระบบการใช้ปฏิทินเหมือนในปัจจุบัน หรือการที่หมู่พีระมิดกีซามีทิศทางตรงกันกับตำแหน่งของหมู่ดาวเข็มขัดนาย พราน เป็นต้น

นักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณเชื่อกันว่า นานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง

พูดถึง จุดสังเกตสำหรับยานอวกาศแล้ว อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงลายเส้นนาซกาแห่งเปรู ลายเส้นจำนวนมากมายหลายภาพ ทั้งภาพสัตว์ต่างๆ และลวดลายเรขาคณิตที่ทอดตัวยาวเหยียดในทะเลทราย ซึ่งไม่สามารถมองเห็นภาพได้ หากไม่มองลงมาจากฟ้า แล้วคนโบราณในสมัย 200 ปี ก่อนคริสตกาลสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร หากไม่มี "ใครสักคน" จากเบื้องบนมาให้คำแนะนำ

นอกจากอนุสรณ์ขนาดใหญ่เหล่านี้แล้ว ของชิ้นเล็กๆจากอดีตกาลก็สื่อความหมายไปในทางเดียวกัน โดยเฉพาะสิ่งของที่ถูกเรียกขานว่าเป็นวัตถุหลงยุค

noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

add
เรทกระทู้
« ตอบ #1 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:23 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

หมู่พีระมิดกีซา ในอียิปต์.

วัตถุ หลงยุคในความเชื่อของนักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณนั้น หมายถึงสิ่งของที่โผล่อยู่ผิดที่ ผิดเวลา เป็นของที่ดูเหมือนลํ้าสมัย ไฮเทค ไม่น่าจะมีในยุคโบราณได้ แต่ก็มีให้เห็นเป็นหลักฐานกันมาแล้วนักต่อนัก โดยวัตถุหลงยุคที่โด่งดังมากที่สุดชิ้นหนึ่งเห็นจะเป็นสิ่งที่ถูกขนานนามว่า เครื่องจักรกลแอนติคีเธอรา ซึ่งถูกค้นพบจากซากเรืออับปางทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะครีท ซึ่งทีแรกที่ถูกค้นพบใน ค.ศ.1900 นั้น ยังไม่มีใครสนใจซากบรอนซ์ผุก่อนนี้นัก จนกระทั่งอีก 2 ปีต่อมา นักโบราณคดีได้สังเกตเห็นโครงร่างซี่ล้อในเศษซากที่ค้นพบ พร้อมข้อเขียนที่สลักไว้บนผลงานลึกลับชิ้นนั้นว่า มันถูกสร้างขึ้นในปีที่ 80 ก่อนคริสตกาลและในเวลาต่อมา มันก็ถูกพิสูจน์ว่า เป็นเครื่องจักรกลทางดาราศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ จนบางคนเรียกขานมันว่าคอมพิวเตอร์แห่งกรีกโบราณ ซึ่งอาร์เธอร์ ซี คลาร์ก นักวิทยาศาสตร์และนักเขียนชื่อดังก็เคยกล่าวถึงมันว่า แม้จะเป็นของเก่าที่อายุเกินกว่า 2 สหัสวรรษแล้ว แต่มันก็เป็นสิ่งที่ลํ้าหน้าเกินกว่าเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 18 และการที่มันถูกซ่อนอยู่ใต้นํ้ามาเป็นเวลานับพันปี ก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่า หากพอจะมีความหวังว่ามนุษย์เราจะพบยานอวกาศจากอดีตอันไกลโพ้น หรือสิ่งประดิษฐ์ใดๆของมนุษย์ต่างดาวแล้วล่ะก็ มันก็น่าจะจมอยู่ใต้ก้นมหาสมุทร พื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกที่เรายังสำรวจไม่ทั่วถึงนั่นเอง

นอกจาก เครื่องจักรกลแอนติคีเธอราที่เป็นหลักฐานแสดงว่า น่าจะเคยมีเผ่าพันธุ์ที่มีวิวัฒนาการและสุดยอดเทคโนโลยีเคยมาเยือนเราเมื่อ หลายพันปีก่อนแล้ว อีกหลักฐานหนึ่งที่เป็นที่ฮือฮากันมาก ก็น่าจะเป็นหลอดไฟในยุคอียิปต์โบราณ


เครื่องจักรกลแอนติคีเธอรา.

งาน นี้ไม่ได้มีของเป็นชิ้นๆมาให้เห็น แต่ หลักฐานอยู่ในรูปสลักของวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งจึงฟันธงลงไปว่า ก่อนที่โธมัส อัลวา เอดิสัน จะประกาศตัวเป็นผู้ประดิษฐ์ หลอดไฟในโลกยุคใหม่นั้น ชาวอียิปต์โบราณเขามีหลอดไฟใช้กันมานานแล้วล่ะลุง แล้วเทคโนโลยีนี้จะมาจากไหนได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเอามาให้

คน ที่เชื่อในเรื่องนี้บอกว่า ไหมล่ะ สงสัยมานานแล้วเชียวว่า ในพีระมิดน่ะ ทั้งมืด ทั้งแคบ แล้วนักแกะสลักรูปภาพอียิปต์เข้าไปทำงานในที่มืดๆอย่างนั้นได้ยังไง จะว่าจุดคบไฟก็ไม่เคยมีการพบเขม่าควันในพีระมิด ว่าแล้วหลอดไฟก็เป็นคำตอบที่ให้ความกระจ่าง

ถึงกระนั้น คนขี้สงสัยยังซักต่ออีกว่า คุณที่ว่ามีหลอดไฟใช้กันมาตั้งหลายพันปีแล้วน่ะ จะไปเอาไฟฟ้าจากไหนมาให้พลังงานกับหลอดไฟกันล่ะ งานนี้มีคำตอบ อีริค ฟอน ดานิเก้น นักเขียนผู้สร้างทฤษฎีพระเจ้าจากอวกาศบอกว่า ก็มาจากแบตเตอรี่น่ะสิ




noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #2 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:29 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ภาพที่แสดงถึงหลอดไฟในยุคอียิปต์โบราณ.

งาน นี้มีหลักฐานยืนยันอีกแล้ว เพราะมีการค้นพบภาชนะรูปร่างคล้ายแจกัน ภายในบรรจุถ้วยกระบอกทองแดงและแท่งเหล็ก มันเป็นวัตถุโบราณของเมืองแบกแดด จากช่วงเวลาประมาณ 240 ปีก่อนคริสตกาลและในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง ที่มันถูกพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า สิ่งนี้คือแบตเตอรี่ที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้

ว่าแล้ว อีริค ฟอน ดานิเก้น ที่สร้างสวนสนุกของตนเองขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์ ก็จัดการผลิตหลอดไฟที่เห็นในภาพขึ้นมาโชว์ให้เห็นกันจะจะว่า สามารถทำงานได้ด้วยแบตเตอรี่ลักษณะเดียวกับแบตเตอรี่แห่งแบกแดดนี้ ทำเอาฮือฮากันไปทั้งบางอีกแล้วว่า ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวเคยมาอยู่อาศัยบนโลกเราแล้วล่ะก็ ของพวกนี้จะมาจากไหนกัน

ดานิเก้นและผองเพื่อนคอเดียวกันฟันธงฉับลงไป ว่า ต้องเคยมีผู้มาเยือนจากอวกาศมาอยู่อาศัยบนโลกของเรา อาจจะเป็นทั้งนาย ทั้งครู ผู้สอนวิทยาการ และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมพวกเขาก็จากไป ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ค้นพบ แต่ที่มาก กว่านั้นก็มีนักคิดบางคนบอกว่า พวกเขามาอยู่ตั้งรกรากบนโลกของเราแล้ว อาจจะไม่ได้จากไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว แต่อาจจะทิ้งเชื้อสายไว้ดั่งเช่นที่หลายอารยธรรมของโลกมีตำนานเก่าแก่คล้ายๆ กันว่า เผ่าพันธุ์ของตนสืบสายมาจากเทพ หรือคนที่มาจากท้องฟ้า เช่น ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากษัตริย์ของตนสืบเชื้อสายมาจากพระอาทิตย์ หรือคนเกาหลีที่เชื่อว่า บรรพบุรุษของพวกเขาคือฮวานอุง โอรสของเทพที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ ฯลฯ

จะ ว่าไปตำนานเกี่ยวกับบรรพบุรุษผู้ลงมาจากฟ้านี้ มีหลักฐานอยู่ด้วยเหมือนกัน นั่นคือ ใน ค.ศ.1938 นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งได้ขุดค้นถํ้าใกล้ชายแดนจีน-ทิเบต แล้วเจอที่ฝังศพแปลกๆเป็นโครงร่างกระดูกขนาดย่อม สูงประมาณ 4 ฟุต แต่หัวกะโหลกใหญ่ พร้อมด้วยแผ่นจานหินรูปร่างเหมือนแผ่น C จำนวนหนึ่ง ซึ่งจารึกตัวอักษรขนาดจิ๋วเอาไว้ ไม่นานต่อมาก็มีการแปลความหมายได้ว่า มีคนกลุ่มหนึ่งจากฟากฟ้าตกลงมายังโลกของเราเมื่อ 12,000 ปีก่อน แล้วสร้างหมู่บ้านปักหลักอาศัยอยู่กลายเป็นบรรพบุรุษชาวจีนเผ่าโดรปา ที่อ้างเสมอมาว่า ตัวเองสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าต่างดาว

งานนี้นักคิดในทฤษฎีนักบินอวกาศโบราณบอกว่า ไหมล่ะ ทำไมคนจีนถึงมีจำนวนมากกว่าใครในโลก ก็เป็นเพราะพวกเขา "มา" ก่อนใครไงเล่า...


ลายเส้นนาซกา ซึ่งต้องมองจากบนที่สูงจึงจะเห็นเป็นภาพ.

แผ่นจารึกแห่งโดรปา.

จาก: ทีมงาน ต่วย'ตูน

เครดิต พันทิพดอทคอม




noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #3 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:34 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

แชร์บทความนี้ไปให้คุณสรยุทย์ออกข่าวหน่อยครับ
คอลัมน์อย่างนี้ก็มีในโลก ตีพิมพ์ตั้งแต่เมื่อปี 2536 พบสามเหลี่ยมนรกแห่งใหม่ใกล้ไทย เครื่องบินเรือหายลึกลับ pic.twitter.com/3VdNmewA0r



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #4 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:36 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ขอขอบคุณศูนย์ศึกษาวิจัย มนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตนอกโลก UFO Thailand



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 9 เม.ย. 14, 16:00 น โดย destinygoal » noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Guest
K.Don
เรทกระทู้
« ตอบ #5 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:36 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 
555ไม่คิดว่าคุณ destinygoal จะบ้าต่วยตูนฯเหมือนผม q*073
noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #6 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:39 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ขอขอบคุณศูนย์ศึกษาวิจัย มนุษย์ต่างดาว และสิ่งมีชีวิตนอกโลก UFO Thailand



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #7 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:46 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ความลับสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก



เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2535 กองเรือรบสหรัฐอเมริกาได้พบวัตถุบินได้หรือจานบินและเกิดการต่อสู้กันขึ้นจนสามารถทำลายจานบินได้ 1 ลำแสดงว่ามีมากกว่า 1 ลำ และได้ส่งหน่วยค้นหาติดตามจนพบและกู้จานบินพร้อมสิ่งมีชีวิต 8 ศพมนุษย์ต่างดาว จากใต้ก้นทะเลบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ขึ้นมาได้ตามรายละเอียดในหน้าข่าว น.ส.พ. ไทยรัฐ ฉบับวันพฤหัสบดี ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2535 แรม 13 ค่ำ เดือน10 ปีวอก หัวข้อมีอยู่ว่า "พบจานผีและ8ซากศพมนุษย์ต่างดาวใต้ก้นทะเลสามเหลี่ยมนรกเบอร์มิวด้า"...............
ในตอนนั้นอาจจะเป็นตอนแรกในโลกที่ได้พบยานที่เหาะได้ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก และในอดีตคงจะเคยได้ยินว่า บริเวณนี้เคยมีเรือและเครื่องบินจำนวนมากได้หายไปอย่างลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ศพมนุษย์ต่างดาว 8 ตน เสียชีวิตหมดและศพได้ถูกนำไปเก็บไว้ยังห้องเย็นที่แฮงการ์ 18 ซึ่งเป็นสถานที่ทางการทหารแห่งหนึ่ง ส่วนยานผีนำไปเก็บไว้ยังสถานที่ลับแห่งหนึ่งเช่นกัน ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด
ศพของมนุษย์ต่างดาวมีความสูงเท่ากันหมด 5 ฟุต 5 นิ้ว หนัก 135 ปอนด์ ตามตัวไม่มีขนเลย มือแต่ละข้างมีความยาว สามนิ้ว แต่งกายด้วยโลหะบางๆ สีทึมๆ สวมบู๊ตยาวถึงเข่าและเชื่อกันว่าหลังจากที่ต่อสู้กันการตายเพราะเครื่องช่วยชีวิตไม่ทำงาน กำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ แต่ด้วยกองเรือรบสหรัฐปิดล้อมบริเวณสถานที่เกิดเหตุอยู่จึงไม่สามารถช่วยเหลือได้ และโดยเชื่อว่าอาวุธลำแสงเหมือนเลเซอร์ที่ต่างดาวใช้จะเป็นอาวุธที่ทำให้เกิดการปฏิวัติครั้งยิ่งใหญ่ในการสร้างอาวุธบนพื้นโลกนี้
เมื่อวันอังคาร ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ช่วงเช้า เวลาไทยประมาณ 11.10 น. ช่อง 3 ได้ถ่ายทอดเทปบันทึกรายการฝรั่ง จำไม่ได้ว่ารายการอะไร ภาพที่ออกอากาศ ก็มีช่างกล้องจับภาพของสัตว์หรือตัวอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งบินไวมากๆ เมื่อนำกล้องที่ถ่ายภาพนั้นไว้ มาดู และกรอดูหลายรอบ รวมทั้งขยายดู ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า คุณเจ้าสัตว์ที่บินอยู่ในกล้องนั้นคือตัวอะไร ดูลักษณะในภาพก็มีการโต้แย้งต่างๆ นาๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าตัวที่บินอยู่ในกล้องนั้นมีรูปลักษณะเหมือนสัตว์ตัวไหนที่อยู่บนโลกนี้ ที่บินได้ด้วย ในเทปบันทึกที่พบหลายๆ เทป มีการคำนวณขนาดกันตั้งแต่ 4 ถึง 100 ฟุต ที่มีลักษณะของตัวที่บินได้เร็วจนสายตาคนปกติมองไม่เห็น ที่พบในเทปบันทึกภาพมีหลายตัว หลายขนาด
เมื่อวันพุธ ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ช่วงกลางคืน เวลาไทยประมาณ 21.33 น. ช่อง 9 รายการ BXcite เป็นเทปบันทึกรายการฝรั่ง เป็นการพบซากศพมนุษย์ ไม่รู้จะเรียกว่าอาชญากรรมหรืออะไรดี ศพที่พบทำให้เจ้าหน้าที่ต้องงง และทึ่งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะลักษณะของศพ ถูกเผาไหม้จนเหลือแต่เถ้า ที่นอนอยู่บนเตียง แต่มีอยู่อีกสองสิ่งที่น่าตกใจ คือเท้าถึงเข่าทั้งสองข้างยังอยู่ครบ เหมือนกับท่านอนแต่เอาขาตั้งไว้ กับขอบเตียง และอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นที่งงงวยก็คือไม่พบควันที่เกิดจากการเผาไหม้ ทั้งบนเพดานและรอบๆ ตัวศพและบนเตียงมีนักวิทยาศาสตร์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องบอกว่า นี้เป็นวิธีการสันดาปที่สมบูรณ์ที่สุด
เมื่อวันอันคารและพุธ ที่ 25 และ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546 ช่วงกลางคืน เวลาไทยประมาณ 21.33 น. ช่อง 9 รายการ BXcite มีการพบเห็นหมู่จานบินลึกลับ ที่ลอยอยู่เหนือฟ้า เมืองแม็กซิโกซิตี้ ปี ค.ศ. 1991 มีทั้งช่างกล้องสมัครเล่นและของนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ เป็นข้อพิสูจน์ ว่าได้จับภาพจานบินได้หลายลำ และคนดูที่จ้องดูตามบ้าน ตามท้องถนนเป็นกลุ่มใหญ่ น่าจะเกิน 100 คน จากภาพที่จับได้ชัดที่สุด เหมือนมีอะไรหมุนรอบ ตัวยาน ไวมากมองไม่เห็น จากการปรับภาพให้ช้าลง จะเห็นตรงกลางของตัวยานอยู่นิ่ง แต่รอบๆ หมุนอยู่ จากภาพจริงไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวได้ขณะหมุน มันหมุนอยู่จะจับภาพได้อย่างไร ใช่หรือไม่ และเทปอีกชุดก็มีการพบในวันจันทรุปราคาด้วย จากภาพก็พบยาน หมุนๆ อยู่ และก็หายไป ได้มีการวิเคราะห์ภาพ ของกลุ่มนักวิเคราะห์ทาง US แต่เขาไม่ประสงค์ออกนาม ภาพที่ได้เป็น ภาพจริง


เครดิต clipmass



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #8 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 15:59 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

น้อยครั้งที่รายการทูไนท์โชว์โดยมีคุณไตรภพเป็นพิธีกรณ์จะมีการสัมภาษณ์ในเรื่องที่ถือว่าพิสดารเช่นนี้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นอาจเพราะว่ายังไม่มีใครที่สามารถให้ความเห็นที่โดยที่มีหลักการและข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้เพียงพอ

พบเจอกับ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์เทพพนม เมืองแมน (พ.ศ. 2479 -)
เป็นแพทย์ชาวไทยที่มีชื่อเสียงจากการเป็นแพทย์ชาวไทยคนแรกที่เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัด
เส้นเลือดหัวใจ แต่ต่อมาหันไปศึกษาค้นคว้าเรื่องทางจิต โดยที่เจ้าตัวและผู้ที่เชื่อบอกว่า
สามารถติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวและผีหรือวิญญาณได้ โดยบอกว่าสามารถติดต่อได้ตั้งแต่อายุ 6-7 ขวบ และปัจจุบันนี้เป็นนายกสมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ผู้ซึ่งเป็นอดีตคณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.

เครดิต พลังจิตดอทคอม



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #9 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:06 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

คุณดอน

555ไม่คิดว่าคุณ destinygoal จะบ้าต่วยตูนฯเหมือนผม q*073




ดูแล้วสนุกไม่เครียดแล้วได้ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวด้วยและนั่งหัวเราะด้วยครับคุณดอน ดูมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นแล้วครับ....55555



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #10 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:14 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว จากองค์การนาซา (NASA) มีสถิติว่า ในหนึ่งปีจะมีคนเห็นยานอวกาศ หรือสิ่งที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวประมาณ 4,000 ครั้ง อีกทั้งประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน แห่งสหรัฐอเมริกา กับ ประธานาธิบดีเบรสเนฟ แห่งรัสเซีย เคยปรึกษากันว่าจะไม่ส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ เพราะทราบว่าบนดวงจันทร์ไม่มีมนุษย์ต่างดาว แต่ผมคิดว่าดาวที่ผมไปกับยานอวกาศเมื่อปี พ.ศ.2540 เป็นดวงจันทร์ ตั้งแต่ผมเจอยานอวกาศครั้งแรก หลังจากนั้นอีกสามสิบปี ผมไม่เคยเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ใครฟังเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมได้เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้แชมป์หมากรุกคนหนึ่งซึ่งเป็นศาสตราจารย์ฟัง ภรรยาของแชมป์หมากรุกคนนั้นก็บอกผมว่า ตัวเธอก็เคยเห็นยานอวกาศเหมือนกัน จากจุดนี้ทำให้ผมคิดว่า คงมีคนเคยเห็นยานอวกาศมากมาย แต่ไม่กล้าพูดให้ใครฟัง

หมายเหตุ ข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด เรียบเรียงมาจากคำบอกเล่าของท่านประธานาธิบดีคีร์ซานโดยตรง เมื่อวันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2553

Crop Circles วงกลมหรือสัญลักษณ์ประหลาด ที่ทุ่งข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์

Crop Circles

สำหรับภาพดังกล่าวนี้ เป็นภาพหนึ่งในเหตุการณ์ประหลาดที่เรียกว่า Crop Circles คือ เกิดวงกลม หรือสัญลักษณ์ประหลาดที่ทุ่งข้าวสาลี หรือข้าวบาร์เลย์ ซึ่งคาดว่าเป็นภาพเหตุการณ์ที่ยานอวกาศจากนอกโลกมาลงจอดในทุ่งหญ้า ตามที่ท่านประธานาธิบดีคีร์ซานกล่าวถึง ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2523 (หรือค.ศ.1980)

จากรายงานการเกิด Crop Circles กว่า 10,000 ครั้ง พบว่า ในช่วงปลายปี พ.ศ.2523 (หรือค.ศ.1980) รูปแบบของ Crop Circles โดยส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นเส้นตรง ซึ่งจะออกมาคล้ายๆกับสัญลักษณ์ แต่ภายหลังจากปี พ.ศ.2533 (หรือค.ศ.1990) รูปแบบของ Crop Circles จะซับซ้อนมาก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์ นอกเสียจากจะเป็นมนุษย์ต่างดาวทำขึ้น และถ้าหากเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาวจริงๆ พวกเขาทำไปทำไม มันเป็นสัญญาณบอกอะไรต่อชาวโลก หรือว่าเป็นที่จอดอะไรหรือไม่



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #11 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:18 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ความคิดเห็นที่ 22
ดวงดาวที่เราเห็นมันอยู่ไกลกัน ด้วยตาเปล่าเป็นพันเป็นล้านดวงนั้น ที่ใกล้กันเต็มท้องฟ้าไปหมด แต่ความจริงมันห่างกันเป็นร้อยเป็นล้านปีแสง บางทีอาจมีมนุษย์ต่างดาวเคยมาเยื่อนจริง และพวกเค้าก็กลับดาวบ้านเกิดไป แล้วจะมาใหม่ แต่เวลาของมนุษย์ต่างดาวนั้นอาจเดินทางแค่ 3-4 วันของเค้า แต่เป็นเวลา 3 -4 พันปีของเรา ตอนนี้อาจอยู่ในช่วงวันที่ 3 ที่กำลังเดินทางกลับดาวบ้านเกิด แต่เวลาบนโลกมนุษย์มันหมุนรอบตัวเองไปแล้วเป็นพันๆ ปีไปแล้ว ไม่แน่ต่างดาวคนเดิมพอถึงดาวบ้านเกิดตัวเองแล้ว คิดถึงมนุษย์เลยอยากกลับมาเยี่ยมมาหา เลยเดินจากจากดาวบ้านเกิดมาที่โลกมนุษย์อีก 3-4 วันของเค้า ซึ่งแน่นอนก็คงเป็น 3-4 พันปีของเรา แต่พอมาถึงโลกกลับไม่พบเห็นใครที่คุ้นตา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปหมด มีอากาศยาน มีอาวุธร้ายแรง มีเรดาห์ มีดาวเทียมนอกโลก และมนุษย์ไม่ได้ไร้เดียงสาว่านอนสอนง่ายเหมือนเก่า ไม่ได้มองเค้าเป็นพระเจ้าแต่หากถ้าถูกเจอถูกจับ จะถูกมนุษย์จับไปทดลองเสียมากกว่า และมนุษย์คนเก่าๆ ชาวเผ่าเก่าๆ ที่ต่างดาวเคยรู้จักก็สูญหายไปหมด สรุปไม่เหลือใครที่อยู่ที่นี่ที่ต่างดาวรู้จักเพราะเวลาบนโลกผ่านไปหลายพันปีแล้วก็เลยกลับดาวตัวเองแล้วไม่มาอีกก็เป็นได้นะ อันนี้มั่วนะ แต่ก็สงสัยจริงๆ เรื่องอารยธรรมเก่าๆ ที่สูญสลายไป เค้าสร้างขึ้นมาได้อย่างไรในสมัยนั้น ???

เครดิต พันทิพดอทคอม



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #12 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:28 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

"กล้องยักษ์ 4 หมื่นล้าน" ...ส่องวัตถุมืดนอกโลก



ในที่สุด "กล้องดูดาวยักษ์" ก็ได้รับการอนุมัติให้สร้างบนภูเขาประเทศชิลีแล้ว หลังนักดาราศาสตร์ทั่วโลกช่วยกันลุ้นมาหลายระลอกว่ากล้องเทเลสโคปเลนส์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตัวนี้ จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินหรือไม่ เพราะหลายฝ่ายมองว่าการทุ่มเม็ดเงินมหาศาลกว่า 1,000 ล้านยูโร หรือประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ไปสำรวจอวกาศในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤตินั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง





เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมา องค์กรวิจัยทางดาราศาสตร์ของยุโรป (อีเอสโอ) ที่มีสมาชิกเบื้องต้น 14 ประเทศ เช่น เยอรมนี ฟินแลนด์ อังกฤษ สวีเดน อิตาลี ฯลฯ ประกาศสนันสนุนโครงการสร้าง "กล้องเทเลสโคปยักษ์แห่งยุโรป" เรียกสั้นๆ ว่า "กล้องดูดาวอีแอลที" (The European Extremely Large Telescope : E-ELT) โดยเลนส์กระจกมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40 เมตร ขณะที่กล้องดูดาวขนาดใหญ่ในปัจจุบันนั้น เส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 2-3 เมตรเท่านั้น



จุดประสงค์หลักในการสร้างกล้องขนาดมโหฬารนี้ เพื่อสำรวจอวกาศ ศึกษาการเรียงตัวของดาวเคราะห์ รวบรวมข้อมูลกาแล็กซีต่างๆ ที่อยู่ในระบบจักรวาล





การสำรวจอวกาศโดยกล้องอีแอลที คาดว่าจะสามารถรวบรวมข้อมูลธรรมชาติของหลุมดำ การเรียงตัวของกาแล็กซี ข้อมูลของสสารดำ หรือดาร์คแมตเตอร์ ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในจักรวาล หรือแม้แต่ข้อมูลของพลังงานมืด หรือดาร์คเอเนอร์จี พลังงานแห่งจักรวาลที่สัมพันธ์กับอัตราการขยายตัวของเอกภพ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจจักรวาลอันกว้างใหญ่ได้มากขึ้น ทั้งนี้ อีเอสโอเป็นผู้ออกทุนกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จากจำนวนงบประมาณที่ตั้งไว้ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยจะทยอยจ่ายงบประมาณตามระยะเวลาที่กำหนด โดยคาดว่ากล้องโทรทรรศน์อีแอลทีจะสร้างเสร็จในปี 2022







สำหรับประเทศไทยนั้น มีความพยายามในการพัฒนาวิชาการด้านดาราศาสตร์มาต่อเนื่องหลายสิบปี แต่ติดปัญหาเรื่องงบประมาณและนักวิจัยที่สนใจศึกษาด้านนี้อย่างจริงจังมีจำนวนน้อย “อ.อารี สวัสดี” นายกสมาคมดาราศาสตร์ไทย แสดงความเห็นว่า





ที่ผ่านมารัฐบาลไทยหรือคนในวงการศึกษาส่วนใหญ่มองว่า การศึกษาดาราศาสตร์เป็นเรื่องไกลตัว ทำไมต้องไปเรียนรู้ดาวดวงอื่นในเมื่อเรื่องราวของมนุษย์โลกยังมีปัญหาให้ศึกษาวิจัยอีกหลายด้าน ดังนั้นวงการดาราศาสตร์ของไทยจึงพัฒนาช้ามาก หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก การร่วมมือสร้างกล้องดูดาวที่มีเลนส์กว้าง 40 เมตรนั้น สามารถทำให้มนุษย์มองไกลออกไปในห้วงอวกาศได้ไกลขึ้น ทำให้เข้าใจเรื่องการกำเนิดของเอกภพ







ที่สำคัญคือการศึกษาเรื่องของ "สสารดำ" ที่ต้องใช้กล้องเลนส์กว้างๆ ส่องจึงจะเห็น นอกโลกมีวัตถุสีดำอยู่มากมายมหาศาลแต่สายตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นแสงสีดำได้ จะมองได้เฉพาะวัตถุที่แสงสว่างส่องถึงเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามีพลังงานของสสารดำอยู่นอกโลก มนุษย์อาจสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านพลังงานได้ หรือในเรื่องของคลื่นความถี่ แม้กระทั่งการช่วยไขปริศนาหลุมดำ ดังนั้นประเทศไทยต้องพยายามหาวิธีเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการกล้องยักษ์อีแอลที เพื่อนำข้อมูลมาศึกษาวิจัยเพิ่มเติม





ด้าน รศ.บุญรักษา สุนทรธรรม ผอ.สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ อธิบายว่า กล้องดูดาวอีแอลทีนั้น ทำให้มองเห็นไปไกลนอกโลกหลายร้อยปีแสง หรือมองเห็นออกไปนอกกาแล็กซีทางช้างเผือก นอกระบบสุริยะที่โลกกำลังโคจรอยู่ การศึกษาเรื่องวัตถุดำหรือสสารดำนอกอวกาศนั้น ถือเป็นเรื่องท้าทายมนุษยชาติมาก เพราะวัตถุที่สายตาเรามองเห็นนั้นมีเพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น มีวัตถุอีกร้อยละ 90 ที่เรายังมองไม่เคยเห็นมาก่อน





“องค์ความรู้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่กล้องอีแอลทีจะช่วยได้ คือคำถามเรื่องมีสิ่งมีชีวิตนอกโลกมนุษย์หรือไม่ เพราะถ้าเข้าใจเรื่องการกำเนิดเอกภาพก็จะเข้าใจการกำเนิดของสิ่งมีชีวิต มีดาวเคราะห์มากมายมหาศาลที่อยู่นอกระบบสุริยะ ที่มีองค์ประกอบหรือลักษณะคล้ายโลกมนุษย์ หากเราสามารถมองเห็นวัตถุสีดำก็อาจมองเห็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แต่อย่าไปคิดว่าต้องเป็นมนุษย์ต่างดาว หรือเอเลียนหน้าตาคล้ายคนทั่วไปเหมือนในหนังฝรั่ง





เพราะสิ่งมีชีวิตนอกโลกอาจมีรูปร่างอะไรก็ได้ เช่น ถ้าพวกเขามองเห็นในความมืด ก็ไม่จำเป็นต้องมีดวงตา ในวันนี้ไทยเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ดาราศาสตร์นานาชาติ (International Astronomical Union : IAU) แล้ว เมื่อโครงการสร้างกล้องยักษ์อีแอลทีเสร็จสิ้น คงจะมีการประสานขอข้อมูลมาให้นักดาราศาสตร์ไทยศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งปีหน้าไทยจะเปิดตัวกล้องเทเลสโคปที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สร้างอยู่ในหอดูดาวที่มีอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ทันสมัยที่สุดของโลกแห่งหนึ่งเช่นกัน”





“หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา” อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์



รศ.บุญรักษา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ช่วงต้นปี 2556 ประเทศไทยจะมีกล้องโทรทรรศน์ส่องดูดวงดาวใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4 เมตร กำลังติดตั้งอยู่ใน “หอดูดาวเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา” อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ถือเป็นเครื่องมือทันสมัยในการศึกษาด้านดาราศาสตร์





หากเปรียบเทียบในอดีตไทยมีกล้องเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่เพียงแค่ 0.6 เมตรเท่านั้น กล้องดูดาวตัวใหม่พร้อมอุปกรณ์ไฮเทคชุดนี้ จะช่วยในการสร้างแบบจำลองอวกาศ สามารถเก็บข้อมูลค่าทัศนวิสัยทางดาราศาสตร์ และยังมีอุปกรณ์ตรวจวัดและบันทึกค่าทางอุตุนิยมวิทยา มีระบบวัดค่าความชื้นเพื่อควบคุมการเปิดปิดหอดูดาวแบบอัตโนมัติด้วย





รูปกล้องดูดาวเฉลิมพระเกียรติฯ ขนาดใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้





ไทยสร้าง “หอดูดาว” ระดับโลก

โครงสร้างของหอดูดาวเฉลิมพระเกียรติฯ 7 รอบ ประกอบด้วย “หอดูดาว” อาคารทรงกระบอกสูง 10 เมตร ส่วนบนสุดเป็นทรงกลม รวมความสูงทั้งหมด 17 เมตร ชั้นล่างสุดเป็นบริเวณฐานของ "กล้องโทรทรรศน์แบบ Ritchey-Chretien” เส้นผ่าศูนย์กลางกระจก 2.4 เมตร และมีอาคารห้องควบคุมสูง 2 ชั้น เพื่อเก็บอุปกรณ์และเป็นห้องซ่อมบำรุง ส่วนชั้น 2 เป็นห้องควบคุมหอดูดาว

นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ไฮเทคอื่นๆ เช่น ระบบนำร่องชี้ตำแหน่งดาว (Auto Guider) ระบบสำรวจสภาพท้องฟ้าแบบอัตโนมัติ (Auto-DIMM System) สถานีตรวจวัดอากาศ (Weather Station) อุปกรณ์ตรวจวัดหน้าคลื่น (Wave Front Sensor) ฯลฯ



รายงานพิเศษ

คมชัดลึก 25/06/2555

เครดิต OKNATION



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #13 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:37 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สัญลักษณ์แปลกๆ ที่มนุษย์เข้าใจว่ามนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้น



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #14 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:38 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

สัญลักษณ์แปลกๆ ที่มนุษย์เข้าใจว่ามนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้น



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #15 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 16:46 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

การตอบกลับของมนุษย์ต่างดาว

โครงการ"เซติ"

มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่? คำถามที่มนุษย์โลกสงสัยและค้นหามาช้านาน แต่ก็ยังปราศจากคำตอบที่ชัดเจน

“สิ่งมีชีวิตสีเขียว” ที่ ดร.อัลลี แอร์โรเวย์ ตัวละครเอกในเรื่อง “คอนแทค” มุ่งมั่นตามหามาตลอด สอดคล้องกับความกระหายใคร่รู้ของมนุษย์ที่ต้องการติดต่อสื่อสารกับชีวิตที่อยู่ต่างดาว

“คอนแทค” เกิดจากการผสมผสานเรื่องราวที่มีอยู่จริงเข้ากับเหตุการณ์สมมติได้อย่างลงตัว ถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ที่ตื่นเต้น ล้ำจินตนาการ โดยมีการอ้างถึงโครงการ “เซติ” ที่มีอยู่จริง





ตัวอย่างภาพที่เซติส่งออกไปเพื่อสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก เป็นภาพคน กล้องดูดาว ดีเอ็นเอ

“เซติ” (Search for Extraterrestrial Intelligence: SETI) หรือ การค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงปัญญานอกโลก ได้ทุนหลักจากองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) โดยใช้กล้องโทรทรรศน์วิทยุขนาดใหญ่ตรวจจับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านอกโลก ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ

การค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกเริ่มมีขึ้นอย่างจริงจัง โดยปี 2518 ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุ เรียกว่า “อะรีซิโบเมสเซจ” จากกล้องโทรทรรศน์วิทยุอะรีซิโบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เปอร์โตริโก ถูกส่งไปยังกระจุกดาวฤกษ์ทรงกลม เอ็ม13 ในกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส ที่ห่างจากโลก 25,000 ปีแสง




สัญญาณที่ส่งออกไปสามารถจัดเรียงได้ 2 รูปแบบ แบบไม่มีความหมาย และเป็นรูปภาพ ซึ่ง ประกอบด้วย ตัวเลข, ลักษณะดีเอ็นเอ, ลักษณะของมนุษย์โลกและข้อมูลของประชากรโลก, ระบบสุริยะของเรา สุดท้ายคือ กล้องโทรทรรศน์วิทยุและจานที่เราใช้รับ-ส่งสัญญาณ

การตอบกลับ ?

หลังจากข้อความอันเป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์ได้ถูกส่งออกไปเพื่อสื่อสารกับใครสักคนที่อยู่ไกลออกไปและฉลาดพอที่จะเข้าใจในความหมาย

เรื่องราวประหลาดได้เกิดขึ้นในปี 2001เมื่อมีรายงานถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ในไร่ข้าว ยังไม่มีคำอธิบายได้มากพอจากนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลก มันคือสิ่งลึกลับที่เกิดขึ้น เป็นสัญลักษณ์ประหลาดหลายรูปแบบและซับซ้อนจนไม่สามารถเข้าใจความหมายของมันได้

แต่ที่น่าสนใจคือสัญลักษณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2001 เพราะสิ่งที่ปรากฏมันทีความคล้ายคลึงกันมากกับสิ่งที่เราส่งออกไป และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ DNA ของมนุษย์





นี่คือภาพเปรียบเทียบลักษณ์ความคล้ายคลึงและความแตกต่างกับรูปแบบที่เราส่งออกไปและถูกตอบกลับมาในไร่ข้าว

จะเห็นได้ชัดว่าลักษณะ DNA และรูปร่างของชีวิตแตกต่างกันแต่ถูกตอบกลับมาในรูปแบบเดิม หรือมันจะเป็นการประกาศความมีตัวตนของสิ่งมีชีวิตอันทรงปัญญาจากนอกโลก


เครดิต thaipx2012



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #16 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 17:03 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

การตอบกลับของมนุษย์ต่างดาว



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #17 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 18:15 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

ไกลออกไปในที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ทะเลทรายนาซคา ในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ขนาดใหญ่โตถึง 200เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "นาซคาไลน์"
นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม นกฮัมมิ่งเบิร์ด (ทั้งๆที่เปรูไม่มีนกชนิดนี้) บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ในยุค 100 ปี ก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช นาซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง และค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้จงใจสร้างขึ้นเพื่อให้มองจากท้องฟ้า การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #18 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 18:39 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เผยความจริง : ยานอวกาศขนาดยักษ์บนดวงจันทร์ และ Mona Lisa



Alien Spaceship on The Moon

เรื่องราวนี้เคยได้รับการกล่าวถึงในเวปไซท์ต่างๆตั้งแต่ปี 2007 มาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนั้นมันยังดูฉงนน่าประหลาดใจ แต่ตอนนี้มันกำลังได้รับความสนใจยิ่งขึ้น เนื่องจากได้รับข้อมูลสนับสนุน ซึ่งมีทั้งหลักฐานและการเปิดเผยเพิ่มเติม ซึ่งหลายคนอาจคนคิดว่ามันไกลเกินที่จะเรียกว่า "ความจริง" ไปแล้ว และด้วยความสัตย์ซื่อของเรา, เบื้องต้นเราคิดว่ามันเป็นการหลอกลวง จนพนักงานของเราที่นี่ (viewzone) ได้จัดหาหลักฐานจนพบแผ่นฟิล์ม จากเว็บไซต์ของนาซ่าเข้าจริงๆ (film strips from the NASA site) และพบว่ามีภาพของวัตถุนั้นอยู่ด้วยกันสองภาพ ถ่ายจากมุมที่แตกต่างกัน เราจึงได้จัดทำภาพจำลอง 3 มิติ เพื่อวิเคราะห์ขึ้นด้วย

ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/02/mona-lisa.html#ixzz28U1dqYGc



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #19 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 18:41 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

โลกเรานั้นเดิมทีเคยมีดวงจันทร์ถึง 3 ดวง ชื่อว่า Fatta, Lelia, Mesiats ชาวอารยัน (Aryan) เป็นผู้ที่นำดวงจันทร์มาไว้ที่นี่ทั้ง 3 ดวง ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ดวงจันทร์ทั้ง 3 ดวง เป็นเสมือนดาวเทียม ผมเองก็หลงเข้าใจตั้งนานว่าดวงจันทร์เหล่านี้ พวกเรปทิเลียน (Reptilian) นำมา ซึ่งเป็นพวกคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน

ดวงที่ชื่อ Fatta มีแรงดึงดูดมหาศาล Fatta ในภาษากรีกเรียกว่า Phaeton ส่วนชาวสุเมเรียนเรียก Tiamat เมื่อ 111,814 ปีก่อนคริสกาล เคยมีสงคราม (star war) ซึ่งน่าจะเป็นสมัยแอตแลนติก

ดวงจันทร์ Fatta, Lelia เป็นที่อาศัยของเผ่าพันธุ์เกรย์ (Grays) ว่ากันว่า Demigod มีความหมายอีกทีคือ “เผ่าพันธุ์มนุษย์” ที่มีระดับทางจิตวิญญาณ (Spiritual) และเทคโนโลยีที่สูงกว่ามนุษย์บนโลก ได้ทำลาย Fatta, Lelia โดยเริ่มทำลาย Lelia ก่อน และหลังจากนั้นก็ทำลาย Fatta ชิ้นส่วนจาก Fatta ตกลงสู่พื้นโลกด้วยแรงกระแทกอันมหาศาล ทำให้เกิดการเปลี่ยนขั้ว (polar shift) เอียง 23.5 องศา (ฉะนั้น นิบิรุ – NIBIRU จึงไม่เคยพุ่งชนโลก) ชิ้นส่วนของ Fatta จมอยู่ใต้มหาสมุทร เนื่องจาก Fatta มีอิทธิพลต่อโลกมาก มีผลทำให้โลกหมุนช้า และเนื่องจากมันถูกทำลาย จึงทำให้โลกหมุนรอบตัวเองเร็วขึ้น ส่วน Mesiats มันคือดวงจันทร์ที่เห็นอยู่นี่เอง

หลายปีที่มีการติดต่อกับเผ่าพันธุ์เกรย์นั้น เทคโนโลยีได้พัฒนาขึ้นมาก เช่น Antigravity-Type Craft ซึ่งสามารถเดินทางไป ดวงจันทร์ Moon, ดาวอังคาร Mars และ ดาวศุกร์ Venus ได้

ข่าวสำคัญที่อยากจะบอก เกี่ยวกับยานลำนี้ ซึ่งอยู่บนดวงจันทร์มาแล้วหลายปี ตัวยานมีความยาวสองไมล์ ความสูงมากกว่าหอไอเฟล (Eiffel Tower) ข้างในมีโหลแก้วบรรจุตัวอ่อนมนุษย์ต่างดาว ขนาด 10 เซนติเมตร จำนวนมาก แต่ถูกทำลายไปไม่เป็นตัว ที่ชัดเจน คือ ตัวยานเก่ามากแล้ว มีอักขระบนกระดาษ เป็นอักษรหางยาว ๆ มีศพผู้หญิงคล้ายคนจีน ที่สวยจนเรียกว่า “โมนาลิซ่า” (Mona Lisa) ไม่เน่าเบื่อย เมื่อนำศพกลับขึ้นยานลูก ก็เอาแท่งที่ตรึงหน้าศพออก และนี่เป็นภารกิจร่วมของนักบินอวกาศอเมริกัน และ รัสเซีย เป็นภารกิจเพื่อการสำรวจในยานนี้โดยเฉพาะ ป่านนี้คงวิเคราะห์ ดีเอ็นเอ – DNA หญิงคนนี้ได้แล้ว

.....................................................................
ลองพิจารณาดูครับส่วนตัวผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งครับ



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #20 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 18:44 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

รัฐบาลนั้นยังปิดบังโกหกต่อสาธารณชนอย่างมากในเรื่องพวกนี้ เช่น ความจริงที่ว่าบนดวงจันทร์มีต้นไม้ และพืชเติบโตที่นั่น สามารถเปลี่ยนสีได้ตามฤดูกาล และมีก้อนเมฆด้วย ซึ่งเป็นด้านมืดของดวงจันทร์ และสามารถเดินได้บนดวงจันทร์โดยมีแรงโน้มถ่วงเช่นเดียวกับโลก

อังเดร ฟิงเกลสทีน (Andrei Finkelstein) นักดาราศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งทำงานให้กับรัฐบาลรัสเซีย ได้ออกมายืนยันด้วยตัวเอง เมื่อ 27 มิถุนายน 2553 ว่า ในจักรวาลยังมีสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อยู่ พร้อมระบุว่า มนุษยชาติจะได้เผชิญหน้ากับผู้มาเยือนจากนอกโลกอย่างแน่นอน ภายในระยะเวลา 20 ปีนับจากนี้…

ข้อมูลจากนักดาราศาสตร์ชั้นนำของรัสเซียระบุว่า มนุษยชาติจะได้เผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอนภายในปี ค.ศ. 2031 หรืออีก 20 ปีนับจากนี้ โดย อังเดร ฟิงเกลสทีน เปิดเผยเรื่องดังกล่าวระหว่างที่เขาเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดการประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่อง “การค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก” โดยเขาได้ย้ำกับที่ประชุมว่า “นอกจากโลกของเราแล้ว ในจักรวาลยังมีดาวอีกหลายดวงที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่มนุษย์ต่างดาวจะมีรูปร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์ คือ มี 2 แขน, 2 ขา และ 1 ศีรษะ”

การเปิดเผยล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังของรัสเซียรายนี้ เป็นการตอกย้ำกระแสความเชื่อเรื่องสิ่งมีชีวิตนอกโลกให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ วารสารทางวิชาการ “The Journal of Cosmology” ได้ตีพิมพ์บทความที่อ้างว่า มีการค้นพบซากไมโครฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตนอกโลกปะปนมากับอุกกาบาต
ที่ตกลงสู่พื้นโลกมาแล้วเช่นกัน






http://www.bobthai.com/2012/พบยานอวกาศโบราณบนดวงจันทร์-mesiats.html



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
add
เรทกระทู้
« ตอบ #21 เมื่อ: 9 เม.ย. 14, 18:46 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
 

เรื่องราวของการกู้ซาก EBE หญิง (ตอนที่ 1) Rutledge ให้การว่าพวกเขา (กับนักบินอวกาศ, Lexei Leonov ) ลงจอดด้วยยาน Lunar Module (ของรัสเซีย) ใกล้เรืออวกาศต่างดาว และเข้าไปสำรวจมันจริงๆ แน่นอนว่ามีบางอย่างถูกค้นพบและกู้ออกมาหลายชิ้น รวมทั้งพบสองคนที่เป็นนักบินในนั้นด้วย "หนึ่งในนั้นสภาพดีและปรากฏเป็นหญิง ตัวที่สองนั้นเสียหายเสี่อมสภาพไปมาก และเราดึงมาได้เพียงศีรษะเท่านั้น หญิงที่เราพบนั้นเราขนานนามให้เขาว่า "Mona Lisa " "เราเข้าไปข้างในยานอวกาศขนาดใหญ่ เข้าไปส่วนที่เป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ที่เป็นส่วนสำคัญของการสำรวจ มันเป็นเรือแม่ที่ดูเก่ามาก ราวกับข้ามจักรวาลแล้วมาไม่น้อยกว่าพันล้านปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว ในนั้นมีสัญญาณหลายเกี่ยวข้องกับทางชีววิทยา ภายในนั้นยังคงเดิม มีพืชอยู่ในส่วนของมอเตอร์ด้วย มีหินรูปสามเหลี่ยมพิเศษ ที่ปล่อยของเหลวคล้ายน้ำตา เป็นของเหลวสีเหลืองที่มีคุณสมบัติพิเศษทางการแพทย์บางอย่าง และแน่นอนว่ามีสัตว์ที่มีเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดพิเศษประกอบอยู่ด้วย เราพบชิ้นส่วนของมันยาวราว 10 เซนติเมตร อยู่ในระบบของหลอดแก้วตลอดทั้งเรือ แต่การค้นพบที่สำคัญก็คือ "ร่างทั้งสองนี้" มีความสำคัญเป็นที่สุด


ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/02/mona-lisa.html#ixzz28U5ePacy


เครดิต r@guitarthai.com



noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า
Tags:  ตอนที่ แล้ว 

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม