ผู้ช่วย ผบ.ตร.เปิดโครงการรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ ตำรวจไม่จับ กลับปลอดภัย” ที่ลานหน้าอาคารศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า พร้อมเดินรณรงค์แจกสติกเกอร์ให้ประชาชนหวังลดอุบัติเหตุและการเสียชีวิต
วันนี้ (7 ก.พ.) เมื่อเวลา 12.00 น. พล.ต.ท.เรืองคักดิ์ จริตเอก ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต. อุทัยวรรณ แก้วสอาด รองผบชน. พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบก.จร. พ.ต.อ.วีระวิทย์ วัจนะพุกกะ ผกก.บก.จร. ร่วมด้วยบริษัทเอกชนร่วมกันประชาสัมพันธ์โครงการรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ ตำรวจไม่จับ กลับปลอดภัย” ที่บริเวณลานหน้าอาคารศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า ถนนสุขุมวิท แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม. โดยมีสื่อมวลชนและประชาชนให้ความสนใจโครงการนี้จำนวนมาก
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า โครงการนี้เป็นความมุ่งมั่นที่จะลดอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ซึ่งบ่อยครั้งเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์จนเป็นสาเหตุเสียชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่เน้นการดำเนินการป้องกันแบบเชิงรุกกับประชาชนด้วยการเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์ โดยมุ่งหน้าไปทางหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผ่านสยามเซ็นเตอร์จนถึงห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง
ด้าน พ.ต.อ.วีระวิทย์เปิดเผยว่า ต้องการให้ประชาชนหน่วย
งานภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันประชาสัมพันธ์รณรงค์โครงการดังกล่าวด้วยการช่วยกันแจกแผ่นพับติดสติกเกอร์ “ดื่มไม่ขับ ตำรวจไม่จับ” กลับบ้านปลอยภัย เพื่อเป็นการย้ำเตือนและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ทางด้าน พล.ต.ท.เรืองคักดิ์กล่าวว่า สำหรับโครงการนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและจะมีต่อไปและเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะสามารถลดอุบัติเหตุบนท้องถนนขอความร่วมมือทุกฝ่ายทุกด้านร่วมกันรณรงค์ปฏิบัติตามเพื่อเกิดความสูญเสียทางชีวิตและทรัพย์สินน้อยลง
องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินการแก้ปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนนของไทย พบว่าสอบตกในทุกมาตรการ ทั้งในเรื่องการลดความเร็ว ได้
คะแนนเพียง 2 เต็ม 10 การลดการดื่มแล้วขับ ได้ 5 เต็ม 10 การใช้หมวกนิรภัยกับรถจักรยานยนต์ ได้ 4 เต็ม 10 การคาดเข็มขัดนิรภัย ได้ 5 เต็ม 10 ขณะที่การใช้ที่นั่งนิรภัยในเด็กไม่ได้คะแนน คือ 0 เต็ม 10 ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 106 จาก 178 ประเทศที่สำรวจ
แม้จะมีการประกาศให้ไทยเป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยหวังลดจำนวนผู้เสียชีวิตให้ได้ครึ่งหนึ่งภายใน 10 ปีข้างหน้า แต่หนึ่งปีผ่านไปยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหามากนัก ซึ่งไทยอาจต้องนำตัวอย่างความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุจราจรในต่างประเทศ เช่น ยุโรป มาเป็นรูปแบบการดำเนินการลดปัญหาอุบัติเหตุ
ก่อนหน้านี้ การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในประเทศแถบยุโรปเกิดจากปัญหาที่หลายประเทศรวมทั้งไทยกำลังประสบอยู่ นั่นคือผู้ขับขี่มักไม่ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร ขาดการบังคับใช้กฎหมายจากภาครัฐอย่างจริงจัง ขณะที่ตำรวจจราจรก็มีน้อย อุปกรณ์มีจำกัด และไม่ได้ถูกบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ยุโรปจึงเริ่มให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จนมีข้อมูลงานวิจัยยืนยันว่าสามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงได้ถึงกว่าร้อยละ 50
หลักของการบังคับใช้กฎหมายในยุโรป ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มจำนวนใบสั่ง ค้นหาผู้กระทำผิด แต่เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการขับขี่และมีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกันโดยเริ่มจาก
1. กำจัดความเร็วเพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุและลดการบาดเจ็บรุนแรง ซึ่งการลดความเร็วเฉลี่ยบนถนนลง 1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุลงได้ถึงร้อยละ 4 ส่วนคนเดินเท้าที่ถูกรถชนร้อยละ 85 หากถูกชนที่ความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงจะเสียชีวิต แต่หากลดความเร็วลงเหลือ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะมีผู้เสียชีวิตเมื่อถูกชนเหลือเพียงร้อยละ 10
2. คาดเข็มขัดนิรภัย พบว่าสามารถลดการเสียชีวิตจาก 2.5 หมื่นคน ลงได้ถึง 1 หมื่นชีวิตแต่ต้องทำควบคู่ไปกับการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงและต่อเนื่อง
3. การฝ่าฝืนกฎจราจรเกี่ยวกับการให้ทางพฤติกรรมการฝ่าฝืนกฎจราจร เช่น ไม่จอดให้คนข้ามถนนข้ามเมื่อมีสัญญาณคนข้าม ขับรถฝ่าไฟแดง ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุสูงถึงร้อยละ 50 ซึ่งในยุโรปมีเทคโนโลยีการใช้กล้องเพื่อช่วยในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น กล้องตรวจจับการฝ่าฝืนสัญญาณไฟ ได้ผลดีคุ้มค่าต่อการลงทุน แม้ประเทศไทยเริ่มมีใช้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึง
4. บังคับใช้กฎหมายดื่มแล้วขับ สร้างความชัดเจนเกี่ยวกับโทษ ผลกระทบและระดับแอลกอฮอล์ที่ผิดกฎหมาย กลยุทธ์ในยุโรป คือทำให้ผู้ขับขี่เกิดความรู้สึกว่าตนเองมีโอกาสถูกจับได้ตลอดเวลา หากทำผิดกฎหมาย ด้วยวิธีการสุ่มตรวจด้วยเครื่องเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ในทุกที่ ทุกเวลา และทำพร้อมกันเป็นวงกว้าง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ขับขี่ไม่สามารถหลบหนีไปในเส้นทางอื่นได้
5. ตรวจวัดสมรรถนะความพร้อมของผู้ขับขี่ ไม่เพียงแต่ในผู้ขับขี่อาชีพ อย่างรถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุก เท่านั้นแต่รวมไปถึงผู้ขับขี่รถโดยทั่วไปด้วย
สำหรับใครที่ไม่ได้ออกไปไหนก็นอนตีพุง
ดูทีวีอยู่ที่บ้านก็ดีเหมือนกันได้พักผ่อนร่างกายแถมที่สำคัญประหยัดตังในกระเป๋าด้วย ส่วนใครไปเที่ยวก็เที่ยวให้สนุกละกันนะครับ สุขสันต์วันตรุษจีน เฮง เฮง รวย รวย ร่างกายแข็งแรงกันทุกคน นะจ๊ะ