พูดภาษาอังกฤษเป็นง่ายนิดเดียว....แต่"ยาก"เยอะ..5555+++++
หรือในทางกลับกัน...อาจจะพูดว่า"ง่ายมากๆ" ก็ได้ เพราะ นกแก้ว มันพูดภาษาอังกฤษได้....
บางคนเรียนมาแล้ว 18 ปี จบปริญญาตรี แต่พูดภาษาอังกฤษ ไม่เป็นสัปรดทางใต้เรียกว่า"หยานัด"แต่คนชะอวดเขาเรียก "มะลิ"(นอกเรื่องอีกแล้ว)
ถ้าใคร จบระดับอนุบาล2-ปริญญาเอก ทุกสาขา ถ้ายังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรือพูดผิดๆถูกๆ....จงอาย นกแก้วมัน เพราะ นกแก้ว มันยังพูดภาษาอังกฤษได้..จริงไหม?(ขออภัยอาจพูดแรงไปหน่อย)
การพูดภาษาอังกฤษต่างกับภาษาไทย คือแต่ละประโยค จะบ่งบอกถึงคุณวุฒิของผู้พูด เช่น เมื่อฝรั่งเดินผ่านมา
คนที่ 1 ถามว่า Where go? สั้นๆแค่นี้แหละฝรั่งก็เข้าใจ
คนที่ 2 ถามว่า Where you go?
" 3 " Where do you go?
" 4 " Where will you go?
" 5 " Where are you going? (สำเนียงไทยๆ)
" 6 " where are you going? (สำเนียงอังกฤษหรืออเมริกัน)
ทั้ง 6คน 6 คำถาม ฝรั่งเข้าใจทุกคำถาม แต่ทุกคำถามบ่งบอกถึง คุณวุฒิของผู้พูด ของผู้ถาม ว่าการศึกษาอยู่ในระดับใหน
หรือหลายครั้งเราอ่านในหนังสือเจอประโยคซึ่งเป็นคำตอบว่า... I have gone to Chiangmai. หรือคำตอบว่า I have been going to Chiangmai. ทำไมต้อง have gone หรือ have been going.....
นี่เพียงชี้ให้เห็นเพียงการสนทนา พื้นๆ 1 กรณีเท่านั้น มีอีกมากมาย นับร้อยๆ กรณี ผู้จะพูด....จะต้องใช้ให้ถูกต้องตามที่เจ้าของภาษาเขาใช้ ไม่ใช่สร้างประโยค จับคำภาษาอังกฤษตามความหมายที่เราต้องการ แล้วนำมาเรียงกันเอง ส่วนมากจะผิด...เพราะภาษาอังกฤษ มี กริยา(Verb) 3ช่อง Tense 3 Tenses ยังแยกย่อยออกไปอีก Tense ละ 4 กรณี รวมเป็น 12 กรณีหลัก 36 กรณีย่อย
ดังนั้นถ้าเราอ่านในหนังสือ Pocket book ที่ขายทั่วๆไป เราจะเจอ รูปประโยคเกี่ยวกับ Tense 36 ประโยค (ความหมายแตกต่างอย่างสิ้นเชิง) อีกทั้ง รูปประโยค Passive Vioce อีกหลายกรณี
อ่านดูฟังดูเหมือนยาก..แต่ผมจะบอกว่า มันง่ายๆ นิดเดียว จริงๆ ทำได้อย่างไร
ถ้าจะเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เก่งที่ดี ต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างดี มิฉะนั้นก็จะกลายเป็น "คู" ไป
//ช.ผาสุข(ฝรั่งขี้นก)