]
โรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ เปิดเวทีเสวนา ในหัวข้อ ‘มุมมองของพ่อ -
แม่คนดังกับการเลือกโรงเรียนให้ลูก’ แนะนำแนวทางทางการศึกษาในระบบอังกฤษ โดยมีผู้ปกครองคนดัง อาทิ ตัน ภาสกรนที - ลูกชายอยู่ประถม 4 / รวิชญ์ เทิดวงส์ – ลูกชายอยู่อนุบาล 2 / เฟย์ ปานศรีงาม (นักบัลเล่ต์ เจ้าของ Rising Star Studio ) – ลูกชายอยู่ ประถม 5 และศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา จิระแพทย์ ร่วมพูดคุย กับ พญ.เกศินี โอวาสิทธิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม จากโรงพยาบาลสมิติเวช และ มิสซาร่า แบรนนอน ครูใหญ่ฝ่ายประถมโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ ณ ห้องสมุดเด็กประถม โรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ สุขุมวิท 53
ปัจจุบันการศึกษาระบบนานาชาติได้รับความกระแสนิยมอย่างแพร่หลาย และได้กลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการศึกษาในเมืองไทย ในขณะเดียวกันเกิดคำถามขึ้นมากมายเกี่ยวกับการเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุดให้กับบุตรหลาน ไม่ว่าจะเป็น การเลือกโรงเรียนนานาชาติที่มีอยู่มากมายในกรุงเทพฯ กว่า 80 โรง ความเข้าใจระหว่างระบบการศึกษาที่แตกต่างกัน ภาษาและวัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมถึงวิธีการเลี้ยงดูลูกที่เติบโตขึ้นในสภาวะแวดล้อมและวัฒนธรรมสองภาษา ตลอดจนการหาแนวทางในการเลือกโรงเรียนที่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งทีพ่อ
แม่หรือผู้ปกครองควรรู้ในการเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน
แม้ความพร้อมทางการเงินจะเป็นปัจจัยต้นๆ ในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ อย่างไรก็ตาม ความพร้อมของเด็ก ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณา แพทย์หญิงเกศินี โอวาสิทธิ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม จากโรงพยาบาลสมิติเวช กล่าวว่า “การที่จะทราบว่าเด็กช่วงวัยอนุบาลเหมาะกับการเรียนในโรงเรียนอินเตอร์หรือไม่ ต้องพิจารณาหลายๆ อย่างรวมกัน เริ่มจากพัฒนาการของตัวเด็กเอง สามารถเข้าใจภาษาและสื่อสารให้คนอื่นทราบสิ่งที่ตัวเองต้องการหรือไม่ เด็กมีทักษะการอยู่ร่วมกับคนอื่น หรืออารมณ์อย่างไรบ้าง ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อทางโรงเรียนในการเตรียมความพร้อมของคุณครูและเพื่อเข้าใจเด็ก นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาอื่นๆ ที่โรงเรียนอินเตอร์ใช้ เพื่อสามารถช่วยเหลือลูกให้เข้าใจภาษานั้นได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ควรดูบริบทของวัฒนธรรมและความต้องการโดยรวมของครอบครัวทั้งหมดว่าชอบระบบการเรียนแบบโรงเรียนอินเตอร์หรือไม่” ทั้งนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ต้องช่วยเติมเต็มในบางส่วนที่ต้องการเพิ่มจากโรงเรียนด้วยตัวเองด้วยเช่นกัน และสิ่งสุดท้ายคือ ระบบของโรงเรียนอินเตอร์นั้นๆ เป็นแบบไหน มีหลักสูตรและแนวคิดอย่างไร อัตราส่วนของเด็กต่อครู การดูแลเรื่องสุขภาพ-อุบัติเหตุ ทัศนคติของผู้บริหารและครูที่มีต่อการสอนการดูแลเด็ก และพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถพูดคุยและปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับเด็กได้มากน้อยเพียงใด”
“พ่อแม่ผู้ปกครองเองก็เปรียบเสมือนครูของลูกด้วยเหมือนกัน และมีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครูที่โรงเรียน เพราะเด็กๆ เรียนรู้ตลอดเวลาไม่ใช่ในห้องเรียนที่โรงเรียนเท่านั้น ที่บ้าน สนามเด็กเล่น ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ทะเล หรือตอนที่นั่งรถไปเที่ยว ดังนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองควรพยายามใช้ทุกวินาทีที่อยู่กับลูกเป็นช่วงเวลาดีๆ มีความสุข สนุก น่าสนใจเพื่อส่งเสริมให้เค้าเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ” พญ.เกศินี กล่าวเสริม
ตัน ภาสกรนที ในฐานะคุณพ่อที่มีลูกชายเรียนอยู่ประถม 4 ได้เผยมุมมองและแนวคิดในการส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติว่า “อยากให้ลูกแสดงออก กล้าที่จะแสดงความคิดเห็น เข้าใจพื้นฐานในการเรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้มากกว่าการท่องจำ กล้า และมีความมั่นใจในตนเอง” สำหรับตัวเองคิดว่า ลูกไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง แต่ต้องเป็นคนดี การให้ลูกเรียนรู้จากประสบการณ์และสิ่งที่ได้พบเห็น แล้วมาร่วมกันแชร์ประสบการณ์ และข้อคิดให้ลูกคิดนอกกรอบ ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ เป็นแนวทางในการสอนที่ใช้กับลูกๆ ทุกคน อย่างไรก็ดี ส่วนของเวลาที่เด็กใช้ระหว่างโรงเรียนและบ้านค่อนข้างจะใกล้เคียงกัน ดังนั้น การเลือกโรงเรียนให้ลูกเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก โดยมีหลักเกณฑ์ง่ายๆ แต่ต้องใช้ความใส่ใจและเวลาในการศึกษาข้อมูลอย่างพิถีพิถันดังนี้ คือเป็นโรงเรียนขนาดกลาง ไม่เล็กไม่ใหญ่ไป อัตราส่วนระหว่างครูกับนักเรียนไม่น้อยหรือมากจนเกินไป คุณภาพของครู สิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน และสิ่งสำคัญสุดท้ายในความคิดของตน คือ ระยะทางในการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนต้องไม่ไกลบ้านสามารถเดินทางภายใน 45 นาที หรือไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ส่วนคุณพ่อคนดังอย่าง รวิชญ์ เทิดวงส์ ดาราและอาจารย์คณะศิลปกรรม มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบัน ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมาก และจะมากยิ่งขึ้นในอนาคต จึงควรเตรียมพื้นฐานที่ดีให้กับลูกๆ ในการส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติในระบบอังกฤษ เพราะระบบอังกกฤษจะมีมาตรฐานวัดกันได้ทั่วโลกโดยใช้ข้อสอบเดียวกันในการวัดผล และหลักสูตรจะเป็นอันเดียวกันกับที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะนำไปเสริมและปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม วัฒนธรรมของแต่ละที่” สำหรับตัวเองแล้ว คิดว่าระบบอังกฤษเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมวัฒนธรรมเมืองไทยมาก โดยเฉพาะพ่อแม่ที่อยากให้เด็กมีระเบียบวินัย มีมารยาท ในขณะเดียวกันก็สอนให้นักเรียน มีอิสระทางความคิดความอ่าน กล้าแสดงออกในขอบเขตที่เหมาะสม และที่สำคัญเขาจะปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน เกิดความอยากเรียนรู้อยากค้นคว้าเอง ไม่ใช่เรียนด้วยความรู้สึกฝืนใจหรือโดนบังคับจากครูจากพ่อแม่ ซึ่งอันนี้สำคัญมาก
นอกจากนี้ การศึกษาในโรงเรียนนานาชาติ ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานในความแตกต่างทางด้านระบบการศึกษา ซึ่งประกอบด้วย ระบบอังกฤษ และ อเมริกัน มิสซาร่า แบรนนอนด์ ครูใหญ่ฝ่ายประถมโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ ได้อธิบายข้อมูลว่า การศึกษาในระบบอังกฤษ จะใช้หลักสูตรที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกโดยออกแบบหลักสูตรสำหรับแต่ละชั้นการศึกษา ตั้งแต่เด็ก 5 ถึง 16 ปี โดยมัธยมปลายใช้หลักสูตร Advanced Level เรียกย่อๆ ว่า A-level ไม่ว่าจะอยู่ที่ประเทศใดในโลกโดยเรียนอยู่ในหลักสูตรอังกฤษนั้น ก็จะได้ความรู้และทักษะเท่าๆ กันหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกโรงเรียนที่ดีให้กับลูกๆ ซึ่งควรมีผู้นำองค์กรที่เก่งและเเข็งแกร่งซึ่งสามารถให้ความมั่นใจแก่พ่อแม่ผู้ปกครองได้ มีสภาพแวดล้อมที่ดี น่าเรียน เด็กนักเรียนมีความสุข ร่าเริงเป็นธรรมชาติ หลักสูตรที่ชัดเจนและมีการสื่อสารที่ดีระหว่างครูและผู้ปกครอง
มิสแบรนนอนด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การปลูกฝังพื้นฐานที่ดีตั้งแต่วัยเด็กจากการเริ่มต้นส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติ มีผลต่ออนาคตเด็กที่จะสามารถเติบโตได้อย่างมีคุณภาพเป็นบุคลากรที่ดีในสังคมต่อไป
