The Karate Kid ( สามดาว )
...........................หนูน้อยคาราเต้ เวอร์ชั่นใหม่ครั้งนี้ แทบจะไม่ได้มีอะไรเหมือนเวอร์ชั่นเก่าที่ ราล์ฟ มัคจิโอ เล่นเลยแม้แต่น้อยครับ ยกเว้นก็แต่พระเอกเด็กหนุ่ม มีครูฝึกวิทยายุทธ เป็นชาวเอเซียแก่ๆท่าทางใจดีๆ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยที่เหลือจากนั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ภาคนี้ตัวเอกเป็นเด็กผิวสี ตามคุณแม่ไปอาศัยอยู่ที่เมืองจีน แล้วก็ต้องเจอะเจอกับประสบการณ์ทั้งที่ไม่น่าประทับใจ และน่าประทับใจ ได้เรียนรู้ชีวิตผ่าน " กังฟู " และได้เข้าถึงวิถีแห่ง " ธรรมชาติ " หนังมีความยาวมากกว่าปกตินิดนึง แล้วก็พยายามจับธีมที่หลากหลายมีทั้งเรื่องรัก เรื่องต่อสู้ รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง แม่ลูก และ ศิษย์กับครู ฯลฯ และแน่นอนว่า หนังพยายามเล่นกับประเด็นความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ และการต้องปรับตัวเข้ากับวิถีคนอื่น ? ซึ่งผมมองว่าการพยายามถ่ายภาพเมืองจีนให้ออกมา Exotic ดูเป็นอะไรที่เฝือไปนิดนึง
...........................ครึ่งแรกของหนังค่อนข้างอืดๆเอื่อยๆไปนิดนึง มีฉากที่ดูจงใจเยอะมาก หนังบกพร่องตรงส่วนนี้แหละครับ ที่ตั้งใจทำให้ตัวละครเป็นขาวจัด ดำจัด มากเกินไป ตัวร้ายก็ร้ายเกินเหตุ ร้ายแบบไม่มีเหตุผลเลย ไม่นับเรื่องที่ว่าทำไมตัวละครบางตัวถึงพูดอังกฤษได้เก่ง หรือทำไมเมืองจีนจึงมีแต่คนฟังอังกฤษได้ ฯลฯ หลายฉากนั้นเซ็ทขึ้นมาแบบว่า .. หืม ดูเหมือนถ่ายหนังมากๆ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ และไม่สมจริงในความรู้สึกของผม คือถ้าเป็นฝรั่งที่ทั้งโลกมีแต่ประเทศตัวเอง มาเจอแบบนี้ก็คงจะเชื่อได้หมด แต่ถ้ารู้จักเปิดเลนส์ส่องโลกสักหน่อยนะครับ ก็คงจะต้องร้อง " ยี้ " ว่า เฮ้ย ลื้อ เมืองจีนเค้าไม่ได้เป็นแบบนี้แล้วนะเฟ้ย !! โชคดีที่ตั้งแต่ เฉินหลง เข้ามาอยู่ในหนังตามจังหวะที่คาดไว้เป๊ะๆ แล้วหลังจากนั้นซีนอารมณ์ที่รับส่งระหว่าง เด็กกับครู ถือว่าช่วยหนังไว้ได้เยอะมากครับ ทั้งคู่นอกจากเล่นดีแล้ว ยังดูเหมาะกับบทบาทที่ได้รับมากๆๆ
...........................โชคดีอีกอย่างนอกจากซีนอารมณ์ระหว่างตัวละคร หนังทำได้ดีแล้ว ซีนแอคชั่น หมายถึงฉากต่อสู้ต่างๆของหนัง รวมถึงฉากการเรียนกังฟูของตัวเอก ถือว่าเล่าออกมาได้อย่างเร้าใจ และดูสนุกสนานตลอด อย่างเช่นแค่เรื่องบทเรียนแรกของพระเอกที่ได้รับ เรื่องแขวนเสื้อ แค่นั้นก็ถือว่าเล่นเอาคนดูอยู่หมัดแล้ว !! หนังสามารถอธิบายคำพูดที่ดูยากๆให้ออกมาเป็นภาพได้อย่างน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะความหมายของคำว่า " กังฟู " นอกจากหนูน้อยตัวเอกจะได้เรียนรู้แล้ว อาจารย์รวมถึงคนดู ก็ได้เรียนรู้และอิ่มเอมไปพร้อมๆกัน หนังอาจจะดูถ่ายออกมาง่ายๆในหลายๆฉาก แต่ผู้กำกับคนนี้เก่งที่คุมจังหวะหนังได้อยู่หมด หลายฉากที่ดูสวยเว่อร์ๆแต่กลับเข้ากับธีมและอารมณ์ของเรื่องราวได้ ทำให้คนดูรู้สึกตื่นตา ตื่นเต้น และเพลิดเพลินแม้ว่าหนังจะยาวมาก แต่เชื่อว่าคนดูส่วนใหญ่คงจะไม่เบื่อหรือง่วงเหงาหาวนอนเป็นแน่แท้ครับ !!
...........................Karate Kid เวอร์ชั่นนี้เป็นการแจ้งเกิด ของ จาเดน สมิธ ลูกชายวิล สมิธ พระเอกผิวสีฮอลลีวู๊ดชื่อดัง อดีตนักร้องเพลงแรพ ซึ่งคิดว่าคงมีคนดูหนังน้อยคนไม่รู้จัก ใครจะรู้ว่านอกจากคุณพ่อแกเป็นพระเอกหน้าตาดีแล้ว แกยังมีฝีมือถึงขั้นชิงออสการ์มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งคุณลูก นอกจากจะคงเสน่ห์ความน่ารัก ยียวนเหมอนคุณพ่อแล้ว ยังแถมด้วยฝีไม้ลายมือการแสดง ทั้งสีหน้าแววตา และการแสดงออก ท่าทางได้อย่างยอดเยี่ยม บอกได้เลยว่าเด็กคนนี้อนาคตไกล ยิ่งมีแบคอัพดีด้วยแล้ว อนาคตดาราดังไม่ไปใหนครับ เด็กคนนี้คือ ลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น ขนาดแท้เลยครับ !! ส่วนเฉินหลง และดาราคนอื่น อย่าง ทาราจิ พี แฮนซัน ซึ่งเคยชิงออสการ์มาแล้วจาก เบนจามิน บัตตอน ก็รับบทแม่ได้อย่างน่าเชื่อถือ มีหลายฉากของหนังเรื่องนี้ที่เหมือนจะไม่มีคำอธิบาย แต่ผมเชื่อว่าคนดูก็พร้อมที่จะจินตนาการถึงส่วนที่ขาดได้ทั้งหมดครับ
ป.ล. รู้จักผู้เขียนเพิ่มเติม เชิญเวปหมีแพนด้า
www.pandagroup.pantown.com