ผลการศึกษาที่ได้ช่วยขยายคลังข้อมูลและขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของกับดักสัตว์ขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ยุคโบราณสร้างขึ้น
สัตว์ถูกไล่ต้อนไปตามกำแพงหินระยะทางหลายร้อยเมตรที่ไปบรรจบกันตรงหน้าผาหรือหลุมพรางดักจับ
ราชกรรมาธิการอัลอูลาเดินหน้าสนับสนุนการค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของภูมิภาคผ่านการวิจัยดังกล่าว เพื่อเป็นรากฐานทางปัญญาให้กับสถาบันราชอาณาจักร ( Kingdoms Institute) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านโบราณคดีของอัลอูลา
งานวิจัยฉบับใหม่เกี่ยวกับกับดักสัตว์โบราณที่สร้างขึ้นในยุคหิน หรือที่รู้จักในชื่อ 'ว่าวทะเลทราย' (Desert Kites) ผ่านการพิจารณากลั่นกรองและประเมินคุณภาพทางวิชาการแล้ว โดยงานวิจัยเผยให้เห็นถึงวิธีการล่าสัตว์ป่าในช่วงปลายยุคหินใหม่ ซึ่งมีความซับซ้อนและครอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง ทั้งยังแสดงถึงความเฉลียวฉลาดและลักษณะการทำงานร่วมกันของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ในอดีต
รับชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่
https://www.multivu.com/players/uk/9102251-research-supported-by-royal-commission-alula-insights-into-ancient-animal-traps/
โครงสร้างเหล่านี้ถูกเรียกว่า 'ว่าว' โดยนักบินในช่วงทศวรรษที่ 1920 เนื่องจากเมื่อสังเกตจากด้านบน รูปแบบของโครงสร้างเหล่านี้ชวนให้นึกถึงว่าวเด็กสมัยก่อนที่มีหางยาวสะบัดพลิ้ว อย่างไรก็ตาม จุดกำเนิดและหน้าที่ของโครงสร้างขนาดใหญ่โตมโหฬารเหล่านี้ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่
ดร.เรมี คราสสาร์ด (Dr Remy Crassard) ผู้เชี่ยวชาญด้านว่าวทะเลทรายในระดับแนวหน้า กล่าวว่า ว่าวทะเลทรายคือโครงสร้างโบราณที่ใหญ่ที่สุดของยุคนั้น ว่าวที่เก่าแก่ที่สุดทางตอนใต้ของจอร์แดนมีอายุถึง 7000 ปีก่อนคริสตกาล ส่วนว่าวที่เพิ่งค้นพบใหม่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาระเบียยังคงอยู่ระหว่างการกำหนดอายุ แต่เชื่อว่าน่าจะอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านจากปลายยุคหินใหม่เป็นยุคสำริด (5000-2000 ปีก่อนคริสตกาล) ดร.คราสสาร์ดเป็นนักวิจัยในสังกัดศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติของฝรั่งเศส (CNRS) อีกทั้งยังเป็นผู้อำนวยการร่วมของโครงการโบราณคดี เคย์บาร์ ล็องก์ ดูเร (Khaybar Longue Duree Archaeological Project) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากราชกรรมาธิการอัลอูลา (Royal Commission for AlUla: RCU) และพันธมิตรอย่าง สำนักงานเพื่อการพัฒนาอัลอูลาของฝรั่งเศส (Afalula) ดร.คราสสาร์ดประมาณการว่า เมื่อ 20 ปีก่อนมีการค้นพบว่าวทะเลทรายประมาณ 700-800 แห่ง เทียบกับตัวเลขปัจจุบันที่ประมาณ 6,500 แห่ง และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ
จากการวิจัยล่าสุดที่ดำเนินการในซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน อาร์เมเนีย และคาซัคสถาน ทีมของดร.คราสสาร์ดยืนยันว่า ว่าวถูกใช้สำหรับการล่าสัตว์ ไม่ใช่เพื่อการเลี้ยงสัตว์ ว่าวทะเลทรายนับ "เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีการดักจับสัตว์ของมนุษย์" และ "การพัฒนากับดักขนาดใหญ่เหล่านี้สร้างผลกระทบต่อภูมิทัศน์ของมนุษย์อย่างน่าทึ่ง" ว่าวอาจนำไปสู่การล่าในระดับที่สูงกว่าการยังชีพ ซึ่งสัมพันธ์กับ "พฤติกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารและโครงสร้างทางสังคม" สัตว์ป่าบางชนิด เช่น ละมั่ง อาจเปลี่ยนแปลงเส้นทางการอพยพของพวกมัน และสัตว์ชนิดอื่น ๆ อาจถูกล่าจนสูญพันธุ์
ในซาอุดีอาระเบีย งานวิจัยที่นำโดยคุณรีเบกกา เรปเปอร์ (Rebecca Repper) จากทีมโบราณคดีทางอากาศในอัลอูลาของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก RCU สำรวจพบว่าวที่ยังไม่เคยค้นพบมาก่อน 207 แห่งในเขตอัลอูลา ว่าวเหล่านี้ถูกค้นพบมากเป็นพิเศษบน Harrat 'Uwayrid ซึ่งเป็นพื้นที่สูงที่มีภูเขาไฟที่ดับแล้ว ทีมวิจัยพบว่า ว่าวรูปตัว V เป็นรูปแบบที่พบมากที่สุดในพื้นที่วิจัย ต่างกับว่าวที่พบในพื้นที่อื่น ๆ ในภูมิภาคแถบนี้ ทั้งนี้ นักโบราณคดีมักอธิบายลักษณะของว่าวเป็นรูปทรงต่าง ๆ เช่น รูปตัว V, ถุงเท้า, ขวานเล็ก และรูปตัว W
ว่าวทั้งหมดในภูมิภาคนี้ ไม่ว่ารูปทรงใด จะมีแนวกำแพงหินเตี้ย ๆ ที่ลู่เข้าหากับดักสัตว์ทรงกรวยซึ่งไปบรรจบกับหลุมหรือหน้าผา โดยเฉลี่ยแล้ว เส้นทางของว่าวที่พบในอัลอูลามีความยาวประมาณ 200 เมตร อย่างไรก็ตาม ว่าวที่พบที่อื่นอาจมีระยะทางยาวถึงหลายกิโลเมตร น.ส.เรปเปอร์กล่าวว่า ความยาวที่สั้นกว่านั้นแสดงถึงความรู้เกี่ยวกับพื้นที่ของนักล่า ซึ่งทำให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะวางกับดักในพื้นที่ที่ภูมิประเทศจำกัดการเคลื่อนไหวของสัตว์โดยธรรมชาติ การวางกับดักเหล่านี้ยังชี้ให้เห็นว่า นักล่ามีความรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเหยื่อเป็นอย่างดีอีกด้วย
การศึกษาวิจัยพบว่า ว่าวที่พบในภูมิภาคอัลอูลามักจะเป็นรูปทรงกรวยที่ไล่ต้อนสัตว์ให้ตกลงไปยังหน้าผา ต่างจากว่าวที่อื่นที่มักจะจบลงในหลุมพราง ซึ่งสัตว์หลายร้อยตัวอาจถูกฆ่าระหว่างการล่าเพียงครั้งเดียว ความแตกต่างนี้อาจเป็นการปรับตัวให้เข้ากับภูมิศาสตร์ท้องถิ่น หรือเป็นวิวัฒนาการของการล่าสัตว์โดยใช้กับดัก
อ่านข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.thaipr.net/travel/3256297