สำหรับวิกฤตข่าวลือที่ EA กำลังเจอก็ต้องบอกให้ทุกท่านทราบว่าไม่ใช่ครั้งแรกนะครับแต่เจอมาแล้วรวมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่ผ่านมาก็เจอข่าวลือแต่ก็เป็นเรื่องที่แตกต่างกันไป สำหรับประเด็นในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นหลักๆ ได้แก่
การลดหุ้นของคุณสมโภชน์ ที่ไม่ได้มีการลดหุ้น แต่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนไปอยู่ในทรัสต์ เพื่อผลประโยชน์ของลูก
การซื้อที่ดินบลูเทคซิตี้ ที่คุณสมโภชน์ซื้อที่ดินเองเพื่อแบกรับความเสี่ยงและขายให้กับ EA ในราคาที่เหมาะสมแล้ว
ความโปร่งใสการสร้างโซล่าฟาร์ม ที่ EA เป็นเทิร์นคีย์ และสามารถทำกำไรจากการสร้างโซลาฟาร์มได้มากกว่าคนอื่น
และสุดท้ายคือประเด็น BYD ที่อาจจะมีการทุจริตจากผู้บริหารชุดเก่า แต่ก็ได้เปลี่ยนคณะกรรมการและผู้บริหารใหม่ พร้อมกับลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจรถบัส EV
ในส่วนรายละเอียดต่างๆ ก็ได้นำมาจากช่อง ถามอีก กับอิก TAM-EIG ที่มีการ Live สัมภาษณ์คุณหมู สุวัฒน์ สินสาฎก CFA, FRM, ERP กรรมการผู้จัดการ บล.ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟ เอส เอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดย อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข, AFPT ที่ปรึกษาการเงิน สัมภาษณ์วันที่ 9 เม.ย. 2565 ซึ่งมีเนื้อหาพูดคุยกันค่อนข้างยาว
ผมเลยจับประเด็นสำคัญๆ ที่คุณหมูได้อธิบายไว้ เพื่อให้นักลงทุนหรือคนที่สนใจประเด็นนี้อยู่ ได้รับฟังข้อมูลในเชิงข้อเท็จจริงกันครับ โดยผมจะขอแบ่งประเด็นต่างๆ แตกลงไปในแต่ละคอมเมนต์แล้วกันนะครับ กระทู้จะได้ไม่ยาวจนเกินไป ใครสนใจประเด็นไหนก็ข้ามไปอ่านประเด็นนั้นได้เลย
โดยผมจะแบ่งเป็น
ความเห็นที่ 1 การซื้อขายหุ้นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
ความเห็นที่ 2 การซื้อที่ดินบลูเทคซิตี้
ความเห็นที่ 3 การก่อสร้างทำโซล่าฟาร์ม โครงการโรงไฟฟ้าที่จังหวัดนครสวรรค์ และ ลำปาง
ความเห็นที่ 4 BYD กับความเกี่ยวข้องกับ EA
อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ครั้งนี้ที่ EA เจอข่าวลือจนทำให้หุ้นตกลงมาจาก 100 กว่าบาท ลงมาที่ 86 บาท เป็นครั้งที่ 3 แล้ว คุณหมูบอกว่าครั้งแรกลงมา 60% ครั้งที่ 2 ลงมา 40% โดยลักษณะของหุ้นจะมีคาแรกเตอร์ที่คล้ายกันคือมีการขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้เป็นครั้งที่มีประเด็นชัดเจนมากที่สุด
โดยเริ่มที่ประเด็นแรก การซื้อขายหุ้นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
การลดหุ้นและการถือหุ้นของคุณสมโภชน์และครอบครัวรวมทั้งหมด 43% โดยตัวคุณสมโภชน์ถือประมาณ 40% อีก 3% เป็นของครอบครัว
การถือหุ้นเป็นข้อมูลที่เปิดในเว็บไซต์ของ SET และรายงาน 56-1
ถ้าไปดูรายชื่อใน SET จะไม่มีการแยกรายชื่อให้ดู แต่จะเห็นเป็นชื่อกองทุน เช่น กองทุน UBS เขาเป็นนอมินีที่ถูกต้องในลักษณะคัสโตเดียน
หมายถึงการถือหุ้นแทนเจ้าของที่แท้จริง โดยจะเปิดเผยชัดเจน ตลาดหลักทรัพย์รับรู้ทุกคนรับรู้ว่าอันนี้ถือแทนใคร แต่เวลาโชว์ชื่อมันไม่ได้โชว์ชื่อเจ้าของ ถ้าถือในลักษณะคัสโตเดียน จะโชว์อยู่ในชื่อกองทุน แต่ถ้าท่านเข้าไปดูรายงาน 56-1 จะเป็นว่ามีการเขียนแยกให้แบบชัดเจน ว่าคุณสมโภชน์ถือ 40%
การถือหุ้นของคุณสมโภชน์ที่เป็นชื่อตัวเองประมาณ 8 ร้อยกว่าล้านหุ้น ลดลงมาเหลือ 4 ร้อยกว่าล้านหุ้น ถ้าดูผิวเผินอาจจะเป็นแบบนั้น ถึงเป็นที่มาของการมองว่า คุณสมโภชน์ลดหุ้น แต่ความจริงไม่ใช่ คุณสมโภชน์ลดหุ้นในชื่อตัวเองตรง 400 กว่าล้านหุ้น เอาส่วนตรงนี้โอนเข้าไปในคัสโตเดียน คือการถือแทนในรูปของทรัสต์ คือกองทุนที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรับทรัพย์สินผลประโยชน์ต่างๆ ที่เกิดจากทรัพย์สินนี้ แล้วนำทรัพย์สินผลประโยชน์ต่างๆ ไปให้กับบุคคลที่เราระบุไว้

https://www.set.or.th/th/products/listing/files/Know_trusts.pdf
เวลาเขาตั้งทรัสต์ ส่วนใหญ่ตั้งเพื่อลูกหลาน สิ่งที่เกิดขึ้นคือกองทุนที่ถือแทนทั้งหมด 3 ชื่อ
1. UBS AG SINGAPORE BRANCH 1,000 ล้านหุ้น
2. Morgan Stanley ถือ 60 กว่าล้านหุ้น
3. UBS AG
รวมทั้งหมดรวมกันราวๆ 1100 ล้านหุ้น
คุณสมโภชน์ตั้งกองทุนมาในปี 2016 คนที่ทำธุรกรรมทรัสต์ทั้งหมดให้คือ UBS และมีการแจ้งตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดว่า การเปลี่ยนหุ้น จากคุณสมโภชน์ไปสู่กองทุนต่างประเทศ ทำไมต้องต่างประเทศ เพราะประเทศไทยไม่ได้มีกฎหมายที่เอื้อ จึงต้องไปตั้งต่างประเทศไม่งั้นจะโดนภาษีประเทศไทยมหาศาล มันเป็นสิ่งที่ปกติสำหรับคนที่อยู่เมืองนอก เศรษฐีเมืองนอกก็ทำกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
คุณสมโภชน์ตั้งมาเพื่อให้ลูกทั้ง 3 คน ในที่สุดกองทุนนี้ผลประโยชน์จะเข้าไปสู่ลูกเมื่อบรรลุนิติภาวะ
มีการตั้งคำถามว่าลดหุ้นหรือป่าว? ถ้าในชื่อตัวเองจริงๆ ก็ลด จาก 8 ร้อย สู่ 4 ร้อย แต่ถ้ารวมในส่วนของกองทุนทรัสต์ ตรงนั้นตลาดหลักทรัพย์ก็ยังนับเป็นการถือหุ้นของคุณสมโภชน์ เพราะมีอำนาจควบคุมทรัสต์อยู่ พอเป็นแบบนั้น กลต. จึงถือว่ายังเป็นของคุณสมโภชน์อยู่ แต่คนละรูปแบบเท่านั้น
ตามปกติดังนั้นถ้าผู้ถือหุ้นใหญ่มีการลดหรือซื้อหุ้นจะต้องมีการรายงานตลาดหลักทรัพย์ให้ทราบ แต่กรณีนี้ไม่มีการรายงานเพราะตลาดหลักทรัพย์ไม่ถือว่าเป็นการลดหรือเพิ่ม เขาถือว่าเป็นการเปลี่ยนเฉยๆ แต่ภาพรวมก็ยังเป็นคุณสมโภชน์
ทุกอย่างที่เขาเปลี่ยน UBS เป็นคนทำให้ ตลาดหลักทรัพย์ก็รับรู้ ถ้ามีคนบอกว่าแบบนี้ตลาดหลักทรัพย์ก็จะต้องมาตรวจสอบ ก็ไม่รู้ว่าจะตรวจสอบอะไร เพราะตลาดหลักทรัพย์รู้อยู่แล้ว และการกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นธุรกรรมที่ปกติ สามารถที่จะทำแบบนี้ได้ ใครๆ ก็ทำได้ แต่ต้องแจ้งตลาดว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพื่อจุดประสงค์อะไร
สรุปว่า ข้อที่หนึ่งคุณสมโภชน์ไม่ได้ลดหุ้น
ปัจจุบันนี้ยังถือหุ้นเท่าเดิม 40.3% ใน EA เพียงแต่ว่าไปอยู่ในกองทุนทรัสต์มากขึ้น
การทำแบบนี้ก็หมายความว่าคุณสมโภชน์กำลังจะถ่ายทรัพย์สินให้ลูกมากขึ้น ยังมีอำนาจควบคุมแต่ไม่ได้รับผลประโยชน์
ถ้ายังไม่เข้าใจก็เปรียบเหมือนกับการเป็นผู้จัดการมรดกแต่ไม่มีอำนาจการใช้เงิน ต้องเอาเงินต่างๆ ไปให้คนที่ได้รับมรดกจริงๆ ซึ่งก็เป็นหลักการเดียวกันกับการตั้งกองทุนทรัสต์ขึ้นมา
ประเด็นนี้สรุปว่า 1.ไม่ได้เป็นการลดหุ้น 2.ไม่ได้ทำธุรกรรมอำพราง 3.กลต.รับรู้เนื่องจาก UBS เป็นคนตั้งทรัสต์ขึ้นมา
ตั้งแต่ EA เข้าตลาดเคยสักครั้งไหมที่ทำให้รู้สึกว่าเขาโกง ถ้ามองในมุมกลับว่าธุรกิจที่เขาทำแล้วรู้สึกว่าไม่ได้ดีกว่าคนอื่น เช่นโซล่าร์ฟาร์มได้กำไรมากกว่าคนอื่นไหม วินฟาร์มทำกำไรได้สูงกว่าคนอื่นไหม หรือแม้แต่ EA ก็เช่นเดียวกัน แต่พอมาแยกในเชิงธุรกิจถ้าเราจะตัดสินคนคนนึงด้วยธุรกิจ ก็ลองนึกดูว่าที่ผ่านมา 10 กว่าปีมันเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะมองเขาด้วยมุมอื่นก็ขอละไว้
ที่มา https://pantip.com/topic/41379714